คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2687-2688/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีละเมิด โจทก์ที่ 2 เรียกค่าปลงศพและค่ารถจักรยานยนต์ที่เสียหาย ได้บรรยายความเสียหายแต่ละอย่างซึ่งโจทก์ที่ 2 ได้เรียกร้องโดยกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดไว้ส่วนรายละเอียดว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไร เป็นเงินเท่าใดเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ถือว่าคำฟ้องของโจทก์ที่ 2 ได้แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม
พ. ผู้ตายเป็นบุตรโจทก์ที่ 1 กับ ป. ต่อมาได้หย่ากัน โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ทำละเมิดเป็นเหตุให้ พ.ตายได้
ผู้ตายไม่มีทายาทอื่น บิดามารดาได้ถึงแก่ความตายไปหมด แล้วผู้ตายยังไม่มีครอบครัวอาศัยอยู่กับโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นผู้ทำการปลงศพ โจทก์ที่ 2 เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายมีอำนาจฟ้องเรียก ค่าปลงศพผู้ตายได้
ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะเนื่องจากมีผู้ทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ตายแม้จะได้ความว่าผู้ตายกำลังเรียนอยู่ในวิทยาลัยและในมหาวิทยาลัยเมื่อเรียนจบออกมาประกอบอาชีพ ย่อมจะมีรายได้พอที่จะให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ซึ่งเป็นมารดาได้ตามควรแม้จะเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่แน่นอนก็ตาม ศาลย่อมใช้ดุลพินิจกำหนดให้ภายในเวลาที่เห็นสมควร ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลสั่งรวมพิจารณาโดยเรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ ๑ โจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ ๒
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นมารดาของนายพิเชฐ รัตนโยธิน โจทก์ที่ ๒ เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเอนก อยู่สวัสดิ์ผู้ตาย จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์โดยประมาทในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ชนรถจักรยานยนต์ที่นายพิเชฐ รัตนโยธิน ขับขี่ซึ่งมีนายเอนก อยู่สวัสดิ์ นั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้นายพิเชฐและนายเอนกถึงแก่ความตายขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาในสำนวนแรกและศาลสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ ในสำนวนหลัง
จำเลยที่ ๒ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของนายพิเชฐฝ่ายเดียว ฟ้องของโจทก์ที่ ๒ เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินไป จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๒ ขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุเข้ามาเป็นจำเลยร่วมทั้งสองสำนวน
จำเลยร่วมให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิใช่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้กับจำเลยร่วม เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของนายพิเชฐฝ่ายเดียว โจทก์ที่ ๒ ไม่ใช่ทายาทของนายเอนก รถจักรยานยนต์ไม่ใช่ของนายเอนกฟ้องของโจทก์ที่ ๒ เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินไปจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างและได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๑ กับให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมชำระเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๒ โดยจำเลยร่วมร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๒ ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๑ รวม ๓๑๐,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๒ รวม ๓๕,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ ๒ มิได้ให้การโต้แย้ง ฟ้องโจทก์ที่ ๑ เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย คงมีปัญหาเฉพาะฟ้องของโจทก์ที่ ๒ เท่านั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ที่ ๒ เรียกค่าปลงศพและค่ารถจักรยานยนต์ที่เสียหาย ความเสียหายแต่ละอย่างโจทก์ที่ ๒ ได้เรียกร้องโดยกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดไว้ ส่วนรายละเอียดว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไร เป็นเงินเท่าใดเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ที่ ๒ ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ที่ ๒ ไม่เคลือบคลุม
ส่วนข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้วโจทก์ที่ ๑ นำสืบว่า นายพิเชฐผู้ตายเป็นบุตรของโจทก์ที่ ๑ เกิดกับนายประหยัดแก้วชูเชื้อ ต่อมาได้หย่ากัน โจทก์ที่ ๑ ได้ส่งเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๖ ประกอบคำเบิกความ แม้ทนายจำเลยจะค้านว่าโจทก์ที่ ๑ ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้ก่อนวันสืบพยานก็ตาม แต่โจทก์ที่ ๑ ได้เบิกความรับรองว่านายพิเชฐผู้ตายเป็นบุตรของโจทก์ที่ ๑ จำเลยมิได้สืบหักล้างให้เห็นเป็นประการอื่น เชื่อว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นมารดาของนายพิเชฐผู้ตายจริง โจทก์ที่ ๑ จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ ๒ นำสืบว่านายแช่มหรือจ้อยเป็นบุคคลคนเดียวกันและเป็นบิดาของโจทก์ที่ ๒ และนายเอนกผู้ตาย ผู้ตายไม่มีทายาทอื่น บิดามารดาได้ถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว ผู้ตายยังไม่มีครอบครัวอาศัยอยู่กับโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นผู้ทำการปลงศพ โจทก์ที่ ๒ เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายมีอำนาจฟ้องเรียกค่าปลงศพได้
ฎีกาเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองมีเพียงใดนั้น พิเคราะห์แล้ว โจทก์ที่ ๑ เรียกค่าขาดไร้อุปการะมาเดือนละ ๒,๐๐๐ บาทเป็นเวลา ๒๐ ปี ได้ความว่านายพิเชฐผู้ตายกำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา ปีที่ ๓ และกำลังเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ปีที่ ๑ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อเรียนจบออกมาประกอบอาชีพย่อมจะมีรายได้พอที่จะให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาได้ตามควรแม้จะเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่แน่นอนก็ตาม ศาลย่อมใช้ดุลพินิจกำหนดให้ภายในเวลาที่เห็นสมควรได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยรับผิดเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑๐ ปีนั้นเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
(วุฒิ ยุววิทยาพาณิชย์ – โสภณ รัตนากร – วิฑูรย์
ตั้งตรงจิตต์)

Share