คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430-431/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกข้อตกลงซึ่งมีข้อความว่า ผู้เสียหายได้ตกลงประนอมหนี้กับจำเลย ซึ่งมียอดหนี้ค้างชำระอยู่ 212,000 บาท วันนี้จำเลยชำระหนี้ให้ผู้เสียหาย 12,000 บาท ส่วนที่เหลือจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาท ทุกสิ้นเดือน นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2542 เป็นต้นไป หากผิดนัดใดนัดหนึ่งยอมให้ฟ้องบังคับคดีต่อศาล ทั้งสองฝ่ายได้อ่านข้อความแล้วเป็นไปตามวัตถุประสงค์จึงลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน บันทึกข้อตกลงดังกล่าว ไม่มีข้อความตอนใด ที่แสดงว่าผู้เสียหายตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันทีหรือตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญา ค้ำประกันและกู้เงินที่จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นแต่เพียงข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ อันจะถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มูลหนี้ที่ออกเช็คพิพาทยังมีอยู่มิได้สิ้นผลผูกพัน คดีอาญายังมิได้เลิกกันตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1612/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวมจำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงแรก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 เดือน รวมลงโทษทั้งสองกระทงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกาขอให้รอการลงโทษ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จแล้วส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้เสียหายแล้ว 42,000 บาท ส่วนที่เหลือผู้เสียหายกับจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความ กันได้แล้ว โดยให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายเดือนละ 10,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามบันทึกข้อความ ฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2542 ท้ายคำร้อง ถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแล้ว ผู้เสียหายแถลงว่าได้มีการทำบันทึกดังกล่าวจริง แต่ต่อมาได้มีการตกลงชำระหนี้กันใหม่โดยจำเลยจะผ่อนชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน หากไม่ชำระก็ให้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปได้ จึงถือว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่มีผลบังคับ ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนและคำพิพากษามายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาใหม่
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2542 ซึ่งมีข้อความว่า ผู้เสียหายได้ตกลงประนอมหนี้กับจำเลย ซึ่งมียอดหนี้ที่ค้างชำระอยู่ 212,000 บาท วันนี้จำเลยชำระหนี้ให้ผู้เสียหาย 12,000 บาท ส่วนที่เหลือจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาท ทุกสิ้นเดือน นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2542 เป็นต้นไป หากผิดนัดใดนัดหนึ่งยอมให้ฟ้องบังคับคดีต่อศาลทั้งสองฝ่ายได้อ่านข้อความแล้วเป็นไปตามวัตถุประสงค์จึงลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใด ที่แสดงว่าผู้เสียหายตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันทีหรือตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญา ค้ำประกันและกู้เงิน ที่จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นแต่เพียงข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ อันจะถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มูลหนี้ที่ออกเช็คพิพาทยังมีอยู่มิได้สิ้นผลผูกพัน คดีอาญายังมิได้เลิกกันตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7
พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.

Share