แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อกฎหมายมิใช่อาศัยข้อเท็จจริง ขอให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำแก้คำร้องอุทธรณ์คำสั่ง(อันดับ 57)
คดีสามสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา175,177 และ 177 วรรคสอง และสำนวนที่สามโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 และ 177 วรรคสอง ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่าจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่มีมูลความผิด ฯลฯ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 53)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า ในคดีก่อนที่จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์ไม่เป็นการฟ้องเท็จ และคดีดังกล่าวพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามเบิกความเท็จ จึงเป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยกเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาในคดีก่อนมาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้เบิกความเท็จ เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมาย เพราะคดีนี้โจทก์มีพยานยืนยันครบถ้วน และการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังพยานโจทก์เป็นการไม่ถูกต้องนั้นเป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง