คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7149-7150/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์เลื่อนการสืบพยานหลายครั้งและทุกครั้งก็ได้กำชับโจทก์ให้เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม ครั้งสุดท้ายศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์อีกว่าหากมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับพยานจะถือว่าโจทก์ประวิงคดี แต่โจทก์ก็ขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าทนายโจทก์ป่วย แต่เมื่อตรวจดูใบความเห็นแพทย์ท้ายคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์แล้ว ปรากฏว่าทนายโจทก์เป็นไข้หวัดและคออักเสบ เป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อย มิได้มีอาการหนักถึงกับไปศาลไม่ได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องให้แพทย์ไปตรวจแล้วจึงมีคำสั่งดังโจทก์อ้าง อีกทั้งยังปรากฏอีกว่าโจทก์ไม่มีพยานไปศาลและโจทก์ไม่ได้ขอหมายเรียกพยานไว้ พฤติการณ์ของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่เหลือจึงชอบแล้ว
พยานโจทก์ทุกปากต่างเบิกความว่าไม่รู้เห็นและไม่อาจยืนยันได้ว่าลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างเป็นพยานนั้นเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลย พยานเอกสารของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้ทำคำขอเปิดบัญชี สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และสัญญาอื่นกับโจทก์ ฝ่ายจำเลยให้การปฏิเสธว่าลายมือชื่อในเอกสารของโจทก์มิใช่ลายมือชื่อของจำเลย ผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่าลายมือชื่อในตัวอย่างและเอกสารของโจทก์ไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันและทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 44,583,165.09 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 29,758,526.89 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณานัดสืบพยานโจทก์จำเลยวันที่ 3 มิถุนายน 2541ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุทนายโจทก์ป่วย ทนายจำเลยแถลงคัดค้านว่าโจทก์ไม่มีพยานไปศาล ไม่ได้ขอหมายเรียกพยานเป็นพฤติการณ์ประวิงคดีและจำเลยเตรียมพยานพร้อมสืบแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามรายงานกระบวนพิจารณานัดที่แล้วศาลได้กำชับให้โอกาสโจทก์นำพยานเข้าสืบในนัดนี้เป็นนัดสุดท้าย หากโจทก์ยังมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับพยานถือว่าโจทก์ประวิงคดี ศาลจะพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควรแต่โจทก์ก็ยังขอเลื่อนคดีอีก ทั้งไม่ได้เตรียมพยานมา ถือว่าโจทก์ประวิงคดีและไม่มีพยานมาสืบอีก จึงให้ยกคำร้อง ให้สืบพยานจำเลยต่อไปแล้วนัดฟังคำพิพากษาซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาคำสั่งและคำพิพากษา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นควรวินิจฉัยฎีกาคำสั่งและฎีกาคำพิพากษาของโจทก์ไปในคราวเดียวกัน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์ชอบหรือไม่ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีตามที่ทนายโจทก์แถลงขอ นัดต่อมาโจทก์นำพยานมาสืบ1 ปาก แล้วโจทก์แถลงขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือ จำเลยแถลงว่าศาลได้กำชับแล้วว่าให้โจทก์นำพยานมาสืบให้เสร็จในนัดนี้ แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าควรให้โอกาสโจทก์ดำเนินคดีได้อย่างเต็มที่ จึงให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์และจำเลยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541 และศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์อีกว่านัดหน้าให้โจทก์นำพยานมาสืบให้แล้วเสร็จ ถึงวันนัดโจทก์นำนางสาวสุจิตรา นันทลักษณ์ มาสืบได้ 1 ปาก แล้วโจทก์แถลงว่ายังติดใจสืบนางสาววิลาวรรณ จารุเธียร อีก 1 ปาก แต่พยานเดินทางไปต่างจังหวัดกลับมาไม่ทัน ขอเลื่อนคดีไปสืบนัดหน้า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 22 เมษายน 2541 และกำชับโจทก์อีกว่าให้เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบ ถึงวันนัดทนายโจทก์แถลงว่านางสาววิลาวรรณพยานโจทก์ปากสุดท้ายติดภาระกิจอยู่ต่างจังหวัดไม่อาจเดินทางกลับได้ทันจึงขอเลื่อนการสืบพยานโจทก์อีก ทนายจำเลยแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปอีกโดยระบุว่าเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 3 มิถุนายน 2541 และกำชับโจทก์ว่านัดหน้าถ้ายังมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับพยานปากนางสาววิลาวรรณจะถือว่าฝ่ายโจทก์ประวิงคดีจะพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร ครั้นถึงวันนัดทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุทนายโจทก์ป่วย ทนายจำเลยรับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้านว่าฝ่ายโจทก์ไม่มีพยานมาศาลและไม่ได้ขอหมายเรียกพยาน เป็นการประวิงคดี ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า นัดก่อนศาลได้กำชับโจทก์แล้วว่าให้เลื่อนการสืบพยานมาวันนี้เป็นนัดสุดท้าย และหากโจทก์ยังมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับพยานถือว่าโจทก์ประวิงคดี เมื่อโจทก์มาขอเลื่อนคดีอีกโดยไม่เตรียมพยานมาสืบถือว่าโจทก์ประวิงคดีและไม่มีพยานมาสืบ จึงยกคำร้องไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ให้งดสืบพยานโจทก์ที่เหลือเสีย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์เลื่อนการสืบพยานหลายครั้งและทุกครั้งก็ได้กำชับโจทก์ให้เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามที่ศาลกำชับ ครั้งสุดท้ายศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์อีกว่าหากมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับพยานจะถือว่าโจทก์ประวิงคดี แต่โจทก์ก็ขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าทนายโจทก์ป่วย แต่เมื่อตรวจดูใบความเห็นแพทย์ท้ายคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์แล้ว ปรากฏว่าทนายโจทก์เป็นไข้หวัดและคออักเสบ เป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อย มิได้มีอาการหนักถึงกับไปศาลไม่ได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องให้แพทย์ไปตรวจแล้วจึงมีคำสั่งดังโจทก์อ้างในฎีกา อีกทั้งยังปรากฏอีกว่าโจทก์ไม่มีพยานไปศาล และโจทก์ไม่ได้ขอหมายเรียกพยานไว้ พฤติการณ์ของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่เหลือโดยยกคำร้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพนักงานของโจทก์สาขาปทุมวันขณะเกิดเหตุคดีนี้มาเบิกความเป็นพยานรวม 3 ปากคือ นายสรวุฒิ โง้วสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ นางพัลภา ตั้งกุลวโรดมสมุห์บัญชี และนางสาวสุจิตรา นันทลักษณ์ ผู้ช่วยสมุห์บัญชี พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความว่า จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์วงเงิน 1,000,000 บาท จำเลยได้เดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมาถึงวันที่ 30กรกฎาคม 2536 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 29,758,526.89 บาท และค้างชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องอีก 14,824,638.20 บาท แต่นายสรวุฒิพยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะจำเลยมาเปิดบัญชีกับโจทก์พยานยังไม่ได้มาทำงานที่สาขาปทุมวัน เอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.11ได้แก่คำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ตัวอย่างลายมือชื่อ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี สัญญาจำนำตราสาร และหนังสือยินยอมให้หักเงินในบัญชีเงินฝากประจำจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าพยาน พยานไม่ทราบว่าลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวจะเป็นของจำเลยจริงหรือไม่ ส่วนนางพัลภาเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าจำเลยไม่ได้มาเปิดบัญชีกระแสรายวันกับพยานและไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.8 ต่อหน้าพยานเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 พนักงานของโจทก์คนอื่นเป็นคนนำมามอบให้พยาน พยานไม่ได้รับเอกสารดังกล่าวจากจำเลยโดยตรงจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.7 จ.9 และ จ.10ต่อหน้าพยาน พยานตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คจากบัตรตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย จ.7 สำหรับนางสาวสุจิตราก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จำเลยไม่ได้เปิดบัญชีต่อหน้าพยานพนักงานของโจทก์คนอื่นเป็นผู้เปิดบัญชีให้จำเลย พยานไม่เคยรู้จักและพูดคุยกับจำเลย พยานไม่ทราบว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.5ถึง จ.10 จะเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริงหรือไม่ พยานตรวจสอบลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.13 ให้ตรงกับลายมือในบัตรตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย จ.7 เท่านั้น พยานไม่ได้ลงชื่อรับรองลายมือชื่อของจำเลยในเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.7 จากคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจะเห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากต่างเบิกความว่าไม่รู้เห็นและไม่อาจยืนยันได้ว่าลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างเป็นพยานนั้นเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลย พยานเอกสารของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ฝ่ายจำเลยให้การปฏิเสธตั้งแต่แรกว่าลายมือชื่อในพยานเอกสารของโจทก์ดังกล่าวมิใช่ลายมือชื่อของจำเลย และผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญปรากฏว่าตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยมีคุณสมบัติของการเขียน รูปลักษณะของลายมือชื่อแตกต่างกันกับลายมือชื่อในเอกสารของโจทก์ จึงลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน โดยจำเลยมีพันตำรวจตรีพิษณุฟูปลื้ม ผู้ตรวจพิสูจน์มาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าลายมือชื่อในเอกสารของโจทก์ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันและทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share