คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1278-1279/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้แก่ผู้เสียหายแยกเป็นรายฉบับรวม 17 ฉบับ ลงวันที่ในเช็คต่างกันไปฉบับละ 1 เดือน โดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเมื่อเช็คเหล่านี้ถึงกำหนดชำระเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นนี้ จำเลยมีเจตนาที่จะให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2520)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2516 จำเลยทั้งสองสำนวนร่วมกันสั่งจ่ายเช็คเงินสดของธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขามหาพฤฒาราม ตั้งแต่ฉบับเลขที่ BBC 145921 ถึงเลขที่ BBC 145937 รวม17 ฉบับ เป็นเงินฉบับละ 4,000 บาท แต่ละฉบับลงวันที่สั่งจ่ายทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยฉบับแรกลงวันที่สั่งจ่าย 1 มกราคม 2517 และฉบับสุดท้ายลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 68,000 บาท ให้แก่นายบุญชัย บรรพาวาณิชย์ เพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าต่อตัวถังรถยนต์ ครั้นเมื่อถึงกำหนดตามวันที่สั่งจ่ายในเช็คแต่ละฉบับ นายบุญชัย บรรพวาณิชย์ได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินต่อธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันออกเช็คทุกฉบับโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 8 เดือน

โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดรวม 17 กรรม ขอให้ลงโทษจำเลยทุกรรมเป็นกระทงคววามผิดไป จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (แก้ไขโดยฉบับที่ 8 พ.ศ. 2517 มาตรา 6) ไม่รับวินิจฉัย

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองว่าจ้างให้ผู้เสียหายต่อตัวถังรถยนต์โดยสารเป็นเงิน 120,000 บาท ครั้นเมื่อทำเสร็จแล้ว นายสุวิชาจำเลยชำระค่าจ้างให้ 52,000 บาท และขอรับไปใช้ก่อน ต่อมาผู้เสียหายไปทวงถามค่าจ้างที่ค้างจำเลยว่าจะสั่งจ่ายเช็คให้ แต่ก็ขอผัดผ่อนเรื่อยมา ผู้เสียหายจึงออกอุบายว่า รถยนต์ยังทำไม่เรียบร้อยให้นำมาซ่อมแซมใหม่ เมื่อคนขับรถของจำเลยนำรถยนต์ไปให้ซ่อมแซมผู้เสัยหายจึงยึดรถยนต์ไว้ วันที่ 4 ธันวาคม 2516 ตอนเช้า นายชูชัย จำเลยได้เบิกเช็คมาจากธนาคารเล่นหนึ่ง ต่อมาไม่ถึงชั่วโมงนายชูชัยได้แจ้งอายึดเช็คทั้งเล่มนั้นต่อธนาคารอ้างว่าหายไป เย็นวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยทั้งสองใช้เช็ค 17 ฉบับตามฟ้องอันเป็นเล่นเดียวกับที่ได้แจ้งอายัดต่อธนาคารไว้ สั่งจ่ายเงินชำระหนี้ค่าจ้างต่อตัวถังรถยนต์ที่ยังค้างอยู่แก่ผู้เสียหายโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็ค 17 ฉบับนั้น ผู้เสียหายนำเช็คไปเบิกเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน

วินิจฉัยฎีกาของโจทก์ว่าได้พิจารณาแล้ว แม้จำเลยจะได้แจ้งอายัดเช็คทุกฉบับไว้ต่อธนาคารแล้วก่อนที่จะสั่งจ่ายเช็ครายนี้ชำระหนี้ก็ตาม แต่ปรากฏว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้แก่ผู้เสียหายแยกเป็นรายฉบับรวม 17 ฉบับ โดยลงวันที่ในเช็คต่างกันไปฉบับละ 1 เดือน เมื่อเช็คเหล่านี้ถึงกำหนดชำระเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นนี้ ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ตามพฤติการณ์ของคดีสมควรวางโทษจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงความผิดละ 1 เดือน รวม 17 กระทงเป็น 17 เดือน

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 คงจำคุกคนละ 1 ปี 5 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share