คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840-1841/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสามรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจาก พ.ภายหลังที่พ. ได้กระทำผิดสัญญาไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่โจทก์เช่าเป็นเวลาหลายปีโดยไม่ปรากฏว่าได้มีข้อตกลงดังกล่าวขึ้นใหม่ระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้กระทำผิดสัญญาข้อไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่เช่าต่อโจทก์ และจำเลยทั้งสามผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ให้เช่าหาจำต้องรับเอาความรับผิดในความเสียหายต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หาก พ. ผู้รับโอนได้มีอยู่ต่อโจทก์เป็นของจำเลยด้วยตามมาตรา569 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะเหตุความรับผิดในความเสียหายดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2511 พ. ได้ทำสัญญาให้โจทก์เช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างตึกแถว อาคารพาณิชย์ บังกาโลและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหาประโยชน์จากผู้เช่าช่วง ผู้ให้เช่าต้องจัดการให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่เช่าภายใน 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่า แต่ผู้ให้เช่ามิได้จัดการให้รื้อถอนออกไปเป็นการผิดสัญญา เป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้ปลูกสร้างตามโครงการ วันที่ 5 กันยายน2518 พ. ได้ขายฝากที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยอมปฏิบัติตามสัญญาเช่าทุกประการ ครบกำหนดขายฝากไม่มีการไถ่ถอนที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 วันที่ 8 พฤษภาคม2521 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขายที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 3 โดยผู้ซื้อย่อมปฏิบัติตามสัญญาเช่าทุกประการเช่นกัน เมื่อ พ. ผู้โอนได้กระทำผิดสัญญาที่เช่าต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ผู้รับโอนจึงต้องรับเอาหนี้หรือความรับผิดตามสัญญาเช่าจาก พ. มาชำระให้โจทก์ด้วยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ปฏิบัติการให้ถูกต้องตามสัญญาเช่ากับโจทก์ โจทก์จึงขอเรียกค่าสินไหมทดแทนคือค่าขาดประโยชน์กำไรที่ควรจะได้จากสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ยอมปฏิบัติตามสัญญาเช่าพ. ผู้ให้เช่าได้ขับไล่ผู้เช่าเดิมออกจากที่ดินด้านเหนือเสร็จภายใน 2 ปี แต่โจทก์ละเลยไม่สร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินด้านเหนือ ไม่จัดทำแบบแปลนสิ่งปลูกสร้างเพื่อขอความเห็นชอบจากผู้ให้เช่า เป็นการฝ่าฝืนสัญญาเช่า พ. ได้เตือนโจทก์แล้วก็ไม่ปฏิบัติตาม โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก พ.หาก พ. เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ก็ต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก พ. จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง

ในวันชี้สองสถานคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกัน ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ และคำแถลงของคู่ความ คดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานของคู่ความทุกฝ่าย แล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานและขอให้คืนค่าขึ้นศาลที่ศาลชั้นต้นเรียกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่า พ. ผู้ให้เช่าไม่ได้จัดการให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินให้หมดภายใน 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่าวันที่ 25 กรกฎาคม 2511 เป็นการผิดสัญญา เห็นว่าโจทก์ถือว่า พ.ได้เป็นผู้ผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่เช่าต่อโจทก์แล้ว ในกรณีเช่นนี้หากโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก พ. ได้ แต่โจทก์ก็หาได้ฟ้อง พ. ไม่ กลับฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อการที่จำเลยทั้งสามรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินภายหลังที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า พ. ได้กระทำผิดสัญญาไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่เช่าต่อโจทก์แล้วเป็นเวลาหลายปี โดยไม่ปรากฏตามฟ้องว่า ได้มีข้อตกลงดังกล่าวขึ้นใหม่ระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้กระทำผิดสัญญา ข้อไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่เช่าต่อโจทก์และจำเลยทั้งสามผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ให้เช่าหาจำต้องรับเอาความรับผิดในความเสียหายต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หาก พ. ผู้โอนได้มีอยู่ต่อโจทก์ตามฟ้องแล้วเป็นของจำเลยทั้งสามด้วยตามมาตรา 569 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใดไม่ เพราะเหตุความรับผิดในความเสียหายดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลยอีก

พิพากษายืน

Share