คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3612/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลเหตุตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งจำเลยทำไว้กับโจทก์ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยประพฤติหรือปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าว อันเป็นการ โต้แย้ง สิทธิหรือหน้าของโจทก์เกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว โจทก์จึงไม่ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ศาลไม่รับ คำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิครอบครองที่ดินรวม 3 แปลงตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 580, 640 และ 653 ตำบลป่าป้องอำเภอดอยสะเก็ต จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน85 ตารางวา, 10 ไร่ 10 ตารางวา และ 13 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวาตามลำดับ ความจริงที่ดินทั้งสามแปลงนั้นมีเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นเนื้อที่รวมกันประมาณ 12 ไร่ 40 ตารางวาโจทก์ได้ขออนุญาตต่อทางราชการเพื่อทำกินที่ดินส่วนที่ได้รุกล้ำเช่นนั้น ซึ่งต่อมาโจทก์ได้รับหนังสืออนุญาตจากทางราชการให้ทำกินในที่ดินดังกล่าวได้ หนังสือที่ว่านี้คือ สทก.1 ลงวันที่ 27พฤษภาคม 2530 รหัส ป่า ชม.15 เลขที่ดิน 1 ระวางหมายเลข 4846-4อำเภอดอยสะเก็ต จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ 12 ไร่40 ตารางวา ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม 2530 จำเลยขอซื้อที่ดินตาม น.ส.3 ก. ทั้งสามแปลง โจทก์ได้แจ้งให้ทราบว่าจำนวนเนื้อที่ที่แท้จริงมีรวมกันเพียงประมาณ 17 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา ส่วนเนื้อที่ที่ระบุไว้เกินกว่านั้นทางด้านทิศใต้รุกล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยรับทราบแล้วตกลงซื้อเฉพาะจำนวนเนื้อที่ที่ไม่รุกล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ครั้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531 โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอดอยสะเก็ต และทำบันทึกไว้ว่าโอนขายสิทธิกันเฉพาะจำนวนเนื้อที่เพียงเท่าที่ไม่รุกล้ำเขตป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้น ต่อมาจำเลยขอซื้อที่ดินจากโจทก์เต็มจำนวนเนื้อที่ตามที่ระบุไว้ใน น.ส.3 ก. ทั้งสามฉบับ คือรวมทั้งที่ดินตาม สทก.1 ด้วย โจทก์ตกลงจะขายที่ดินดังกล่าวนี้ให้จำเลย และจำเลยได้วางเงินมัดจำไว้ต่อโจทก์ 100,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้รับการทักท้วงจากผู้ใหญ่ในทางราชการว่า ที่ดิน สทก.1 นั้น ห้ามทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิหรือให้เช่าช่วงทำกินไปยังบุคคลอื่นโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะโอนโดยเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาอย่างใด มิฉะนั้นจะถูกสั่งเพิกถอนทันที โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยว่า การซื้อขายเช่นนั้นเป็นการขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้งและแจ้งให้จำเลยรับเงินมัดจำ 100,000 บาทคืนจากโจทก์ จำเลยได้รับทราบแล้ว แต่จำเลยไม่ไปรับเงินคืน และกลับกล่าวอ้างว่าได้บอกขายที่ดินเต็มจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ใน น.ส.3 ก. ทั้งสามแปลงนั้นให้แก่บุคคลอื่นโดยมิได้แจ้งเหตุแห่งการรอนสิทธิอันเนื่องมาจากการที่ที่ดิน ตามน.ส.3 ก. ทั้งสามแปลงมีเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นเหตุให้ผู้ที่ตกลงซื้อเข้ามาตรวจสอบที่ดินตาม สทก. 1 ของ โจทก์โจทก์ต้องคอยระวังแก้ไขชี้แจงเพื่อมิให้มีการเข้าใจผิด อันจะเกิดเป็นปัญหาสลับซับซ้อนจนขาดความเป็นปกติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะเวลานับตั้งแต่โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยรับเงินมัดจำคืนจนถึงวันฟ้องล่วงเลยมาเกิน 1 เดือนแล้ว จำเลยก็ยังไม่ไปรับเงินมัดจำคืนจากโจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับส่งเช็คส่งสั่งจ่ายเงิน 100,000บาทไปยังจำเลยด้วย จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว โจทก์ตรวจสอบกับธนาคารที่สั่งจ่ายในเวลาต่อมาปรากฏว่าจำเลยไม่ไปรับเงินตามเช็คฉบับนั้นและกลับกระทำการต่อคนทั้งหลายว่า จำเลยเป็นเจ้าของสิทธิในที่ดินตาม สทก. 1 ของโจทก์และบอกขายที่ดินดังกล่าวนี้ให้บุคคลอื่น เป็นเหตุให้โจทก์ไม่เป็นปกติสุขโดยต้องเพิ่มความระมัดระวังดูแลโดยไม่จำเป็น พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยให้เลิกกระทำการเกี่ยวข้อในที่ดินตาม สทก. 1 รหัสป่า ชม. 15 เลขที่ดิน 1ระวางหมายเลข 4846-4 อำเภอดอยสะเก็ต จังหวัดเชียงใหม่ให้จำเลยรับเงินมัดจำ 100,000 บาท คืนจากโจทก์ และให้จำเลยดำเนินขอรังวัดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอดอยสะเก็ต โดยให้ลดจำนวนเนื้อที่ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 580, 640 และ 653 ที่จำเลยยึดถือครอบครองไว้นั้นให้เป็นการถูกต้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำฟ้องโจทก์ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด จึงไม่รับคำฟ้องของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลเหตุตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งจำเลยทำไว้กับโจทก์ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยประพฤติหรือปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าวอันเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวแต่ประการใด โจทก์จึงไม่ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องของโจทก์จึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share