คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวด รถจักรยานยนต์แต่การที่โจทก์คัดค้านโดยขอสงวนสิทธิโต้แย้งราคาและอัตรากำไรแสดงว่าโจทก์ยังยืนยันว่าสินค้าที่นำเข้าเป็นซี่ลวดและตัวซี่ลวดรถจักรยาน อันเป็นมูลเหตุให้ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องการเสียภาษีอากรได้ จำเลยย่อมมีอำนาจยึดสินค้าไว้ได้จนกว่าคดีอาญาจะถึงที่สุด การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยประเมินราคาของเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้คำนวณตามราคาแท้จริงในท้องตลาดในเวลาที่โจทก์นำเข้าสำเร็จ และคำนวณอากรขาเข้าจากราคาดังกล่าวจึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ จำเลยจึงต้องประเมินอากรขาเข้าใหม่ให้ถูกต้อง และคืนอากรขาเข้าเฉพาะส่วนที่เกินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยของจำนวนที่ต้องคืนโดยไม่คิดทบต้น ส่วนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลนั้น แม้โจทก์จะได้โต้แย้งการประเมินอากรในการตีราคาสินค้าเพิ่มไว้ที่หลังใบขนสินค้าขาเข้าแล้ว ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินภาษีดังกล่าวคืนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งซื้อและนำเข้าซี่ลวดรถจักรยานจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปผลิตเป็นวงล้อรถจักรยานจำนวน 4,140กร็อส ราคา 10,764 เหรียญสหรัฐอเมริกา โจทก์ได้ยื่นรายการเสียภาษีอากรต่อจำเลยโดยคิดราคาสินค้าเป็นเงินไทย 247,302.90 บาทเป็นค่าภาษีอากรที่ต้องเสีย 117,031.31 บาท แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจแล้วให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้าเป็น 500,578.47 บาททั้งได้กำหนดกำไรมาตรฐานสินค้าของโจทก์เป็นร้อยละ 26 ทำให้โจทก์ต้องเสียค่าภาษีอากรเป็นเงิน 246,578.01 บาท โจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยสั่ง โดยสงวนสิทธิที่จะอุทธรณ์เรียกเงินที่ชำระเกินคืน และขอรับสินค้าซี่ลวดรถจักรยานจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ยอมตรวจปล่อยสินค้าให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ไปทำความตกลงระงับคดีและให้โจทก์เสียค่าปรับ 334,323.72 บาท โดยกล่าวหาว่าโจทก์นำสินค้าเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงอากร การที่จำเลยไม่ปล่อยสินค้าให้โจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาว่า การประเมินราคาสินค้าเพิ่มและการคำนวณภาษีอากรเพิ่มไม่ชอบให้ยกเลิกการประเมินราคาสินค้าและการคำนวณภาษีอากรเพิ่ม ให้จำเลยคืนเงินที่เกิดจากการประเมินราคาไม่ชอบจำนวน 129,540.70 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้ตรวจปล่อยสินค้าให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ทำการประเมินราคาสินค้าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล เรียกเก็บจากโจทก์ถูกต้องตามกฎหมายและตามความเป็นจริง สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่ใช่ซี่ลวดรถจักรยาน แต่เป็นซี่ลวดรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ ซึ่งโจทก์ทราบดีเพราะได้ขอเปิดตรวจสินค้า ก่อนที่จะสำแดงชนิดและราคาของสินค้าเพื่อเสียภาษีอากรต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย จึงเป็นการสำแดงรายการเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรอันเป็นความผิดทางอาญา จำเลยจึงยึดสินค้าของโจทก์ไว้เป็นของกลางเพราะเป็นของที่ต้องริบ จำเลยได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ต้องเสียค่าภาษีอากรสำหรับซี่ลวดและหัวซี่ลวดรถจักรยานยนต์พิพาทที่นำเข้า โดยคำนวณจากราคา419,174.28 บาท เมื่อได้จำนวนค่าภาษีอากรแล้วให้นำไปหักออกจากค่าภาษีอากรที่โจทก์ชำระไว้ 246,578.01 บาท และให้จำเลยคืนส่วนที่เกินให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2529 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีอำนาจกักยึดสินค้าพิพาทและการกระทำของจำเลยเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาตามเอกสารหมาย จ.12 เป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวดรถจักรยานยนต์ จำเลยจึงประเมินภาษีอากรใหม่ให้ถูกต้องได้ การที่โจทก์คัดค้านโดยขอสงวนสิทธิโต้แย้งราคาและอัตรากำไร แสดงว่าโจทก์ยังยืนยันว่าสินค้าที่นำเข้าเป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวดรถจักรยาน อันเป็นมูลเหตุให้สามารถดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในฐานสำแดงเท็จซึ่งสินค้าพิพาทเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27, 99 ได้ จำเลยย่อมมีอำนาจกักยึดสินค้าพิพาทไว้จนกว่าคดีอาญาจะถึงที่สุด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยประเมินภาษีอากรชอบหรือไม่ จำเลยมีนายสมเกียรติ พิสุทธเจริญพงศ์ เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้ประเมินสินค้าพิพาทโดยโจทก์ผู้นำเข้าได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าเอกสารหมาย จ.12 พยานเห็นว่าสินค้ารายนี้เป็นซี่ลวดรถจักรยานยนต์ตามใบขอเปิดตรวจเอกสารหมาย จ.22 แผ่นที่ 2จึงได้ประเมินราคาเป็นอะไหล่รถจักรยานยนต์ในพิกัดอัตราภาษี87.12 อากรขาเข้าร้อยละ 33 ภาษีการค้าร้อยละ 9 อัตรากำไรมาตรฐานร้อยละ 26 คู่มือรายการอะไหล่รถจักรยานยนต์ซูซูกิเอกสารหมายล.5 และ ล.6 เป็นราคาขายปลีกในประเทศไทย พยานไม่ได้เทียบเคียงกับตัวอย่างสินค้า แสดงว่าจำเลยไม่ได้คำนวณราคาของตามราคาอันแท้จริงในท้องตลาดในเวลาที่โจทก์นำของเข้าสำเร็จตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2, 10 ทวิ ผลการประเมินภาษีอากรจึงไม่ชอบนายวันชัย จงสวัสดิ์วัฒนา พยานจำเลยปากหนึ่งเบิกความว่า พยานไปตรวจเอกสารที่บริษัทโจทก์และร่วมตรวจสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 087-61099 เอกสารหมาย จ.12 ซึ่งโจทก์ยื่นเมื่อวันที่ 15สิงหาคม 2527 พบว่า ซี่ลวดและหัวซี่ลวดใช้กับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิได้ และพบสัญญาลงวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527)เลขที่ เอ็ม เอส 1196 อาร์ ระบุรุ่นของรถจักรยานยนต์ซูซูกิและหมายเลขอะไหล่จำนวนของราคาซื้อขายรวม จำนวน 4,140 กุรุส ราคา18,244.80 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีลายมือชื่อผู้ซื้อสินค้าตามภาพถ่ายสัญญาเอกสารหมาย ล.24 และต้นฉบับสัญญาหมาย ล.25 ตรงกับใบขนสินค้าขาเข้าเอกสารหมาย จ.12 โจทก์สำแดงขาดจำนวนอยู่ 7,480.80เหรียญสหรัฐอเมริกา ขณะนั้นอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐอเมริกาจะเท่ากับ 22.975 บาท นายวันชัยกระทำการตามหน้าที่เชื่อว่าเบิกความตามจริง ประกอบกับเมื่อได้เปรียบเทียบเอกสารหมาย ล.24และ ล.25 กับเอกสารหมาย จ.12 แล้วปรากฏว่าระบุเครื่องหมายและเลขหมายข้างหีบห่อว่า ยู.ซี.ไอ. 44-8449 ตรงกันฟังได้ว่าราคาซี่ลวดและหัวซี่ลวดจำนวน 419,174.28 บาท ตามเอกสารหมาย ล.24และ ล.25 เป็นราคาที่มีการซื้อขายกันจริงเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ จึงเป็นราคาของที่นำมาคำนวณอากรขาเข้าได้ การที่จำเลยประเมินราคาของเพิ่มขึ้นเป็น 500,578.47 บาท และคำนวณค่าอากรขาเข้าจากราคาดังกล่าวจึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบสำหรับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลนั้น แม้โจทก์ได้โต้แย้งการประเมินอากรในการตีราคาสินค้าเพิ่มไว้ที่หลังใบขนสินค้าขาเข้าเอกสารหมาย จ.12แล้ว แต่ถือไม่ได้ว่าเป็นการอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลคืนจากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ให้คืนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์ด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จำเลยต้องคืนเฉพาะอากรขาเข้าส่วนที่เกินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน ของจำนวนที่ต้องคืนโดยไม่คิดทบต้น ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 จัตวา วรรคสี่ แต่ทั้งนี้ให้นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2529 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามคำขอของโจทก์ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้วจึงให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยตามคำขอของโจทก์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับอากรขาเข้า ให้จำเลยประเมินอากรขาเข้าใหม่โดยใช้ราคาของ 419,174.28 บาทเป็นเกณฑ์ในการคำนวณแล้วคืนอากรขาเข้าส่วนที่เกินแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share