คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6469-6470/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่หนึ่ง แต่เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องอุทธรณ์แล้วมีการจัดส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้จำเลย ณ อีกที่หนึ่ง ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตั้งแต่การส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลย ตลอดจนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยใหม่ ซึ่งเป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะสำเนาอุทธรณ์เป็นคำคู่ความจะต้องส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยหากฝ่าฝืนต้องถือว่ามิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ศาลอุทธรณ์ภาค 1จึงมีอำนาจที่จะสั่งได้
หากการส่งสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ให้แก่จำเลยไม่ชอบเสียแล้วการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมไม่ชอบไปด้วยเมื่อเหตุที่ทำให้คำพิพากษาไม่ชอบเป็นเพราะกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 บัญญัติทางแก้ไว้แล้วจึงไม่ใช่เรื่องที่คู่ความจะต้องแก้ไขโดยใช้สิทธิได้เพียงฎีกาเท่านั้น
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกมีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 16,846 กิโลกรัม เป็นเรื่องเจตนากระทำผิดโดยไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายหวังแต่ประโยชน์ที่จะได้โดยไม่คำนึง ถึงความเสียหายต่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงสมควร ลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้ และสมควรริบรถยนต์บรรทุกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535มาตรา 61, 73 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 จำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพไม่ลดโทษให้ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี และให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนดเวลา 48 ชั่วโมง ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษและริบรถยนต์บรรทุกของกลางโดยอัยการพิเศษประจำเขต 3 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้คู่ความฟังแล้วจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยตามที่อยู่ในคำฟ้องอันมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแล้วเห็นว่ากระบวนพิจารณาตั้งแต่การส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลย การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ผิดระเบียบ จึงให้เพิกถอน ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยใหม่ ศาลชั้นต้นดำเนินการแล้วส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 1

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 เดือนไม่รอการลงโทษ ไม่ลงโทษปรับ และให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ

จำเลยฎีกา ขอให้รอการลงโทษและให้ยกคำขอเรื่องริบของกลาง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่โจทก์ฎีกาขึ้นมานั้น ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 809 หมู่ที่ 1 ถนนคลองส่งน้ำ ซอยสามยอด ตำบลสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา แต่เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องอุทธรณ์แล้วมีการจัดส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้จำเลยณ บ้านเลขที่ 809 ถนนสุรนารี ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตั้งแต่การส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลย ตลอดจนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยใหม่ ซึ่งเป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะสำเนาอุทธรณ์เป็นคำคู่ความจะต้องส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลย หากฝ่าฝืนต้องถือว่ามิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงมีอำนาจที่จะสั่งได้ที่โจทก์อ้างว่าเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีผลบังคับนับแต่วันอ่าน หากคู่ความไม่พอใจ ต้องฎีกาต่อไปยังศาลฎีกาเมื่อไม่ฎีกาภายในกำหนดระยะเวลา คดีย่อมถึงที่สุด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1หยิบยกคำร้องคดีนี้ขึ้นมาวินิจฉัยอีกเป็นการไม่ชอบนั้นไม่มีกฎหมายสนับสนุนหากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์เข้าใจเอาเอง เพราะหากการส่งสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ให้แก่จำเลยไม่ชอบเสียแล้ว การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมไม่ชอบไปด้วย เมื่อเหตุที่ทำให้คำพิพากษาไม่ชอบเป็นเพราะกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27บัญญัติทางแก้ไว้แล้วจึงไม่ใช่เรื่องที่คู่ความจะต้องแก้ไขโดยใช้สิทธิได้เพียงฎีกาเท่านั้นคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษและให้ยกคำขอเรื่องริบของกลางนั้นเห็นว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นเรื่องเจตนากระทำผิดโดยไม่เคารพยำเกรงกฎหมายหวังแต่ประโยชน์ที่จะได้โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่มีเหตุอันควรปรานีรอการลงโทษให้ รวมทั้งไม่มีเหตุอันควรที่จะไม่ริบของกลางแต่อย่างใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share