แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158บัญญัติว่า’ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี ฯลฯ (7)ลายมือชื่อโจทก์ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง’. คำว่า’โจทก์’มีบทวิเคราะห์ศัพท์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(14)ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน. เมื่อโจทก์มิได้ลงชื่อในฟ้อง. มีแต่ทนายความของโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในฐานะโจทก์. คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ศาลจะพึงรับไว้พิจารณา.(อ้างฎีกาที่ 618/2490).
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยขับรถด้วยความประมาทขาดความระมัดระวังชนโจทก์ที่ 1 บาดเจ็บสาหัส และชนบุตรโจทก์ที่ 2ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลรับประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ทั้งสองสำนวนมิได้ลงชื่อในฟ้อง มีแต่ทนายโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในฐานะโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงไม่เป็นฟ้องที่ควรรับพิจารณา พิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องคดีอาญานั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 บัญญัติว่า “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี ฯลฯ(7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียงผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง” คำว่า “โจทก์”นี้มีบทวิเคราะห์ศัพท์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา2(14) ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน คดีนี้ นางปิ่นคำ จอมวงศ์ เป็นโจทก์สำนวนหนึ่ง นายอินทรีย์ช่วยแก้ไข เป็นโจทก์อีกสำนวนหนึ่งแต่บุคคลทั้งสองมิได้ลงชื่อในคำฟ้อง แต่นายจีระเดช ลิมปนานนท์ ทนายความของโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในฐานะโจทก์ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ศาลจะพึงรับไว้พิจารณาตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 618/2490 พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.