คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุที่โจทก์ขอยึดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นเลขที่ 28/15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดก็เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือน เดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหนึ่งเท่านั้น แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ผู้กระทำยังต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนด้วย เมื่อปรากฏว่าขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นดังกล่าว โจทก์คงมีสิทธิได้ค่าเสียหายต่าง ๆ และต่อมาขอรับเงินไปเพียง 478,918.72 บาท ยังมีเงินเหลือที่จะต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 กว่า 600,000 บาท ดังนั้นในวันที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นอีกหลังหนึ่งเลขที่ 28/13 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแต่อย่างใด จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ พ.494/2554 หมายเลขแดงที่ พ.1916/2554 ของศาลจังหวัดพระโขนง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 106093 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยที่ 1 และบริวารจะออกไปจากทรัพย์พิพาท และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาพิพากษา คดีถึงที่สุดแล้ว วันที่ 8 มีนาคม 2555 ซึ่งอยู่ในระหว่างชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ขอหมายบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (1) เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย วันที่ 12 มีนาคม 2555 โจทก์ขอยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 45247 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้น เลขที่ 28/15 ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปเป็นเงิน 1,190,000 บาท เดือนกรกฎาคม 2558 เจ้าพนักงานบังคับคดีให้โจทก์ตรวจสอบบัญชีรายรับ – รายจ่าย จากนั้นวันที่ 28 สิงหาคม 2558 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่โจทก์ 478,918.72 บาท แต่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินพิพาท วันที่ 2 มีนาคม 2558 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 45248 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้น เลขที่ 28/13 ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องชายโดยเสน่หา โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่โจทก์ขอยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 45247 พร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นเลขที่ 28/15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดก็เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือนเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดพระโขนงในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1916/2554 เท่านั้น แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 นั้น ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน เมื่อปรากฏว่าขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 45247 พร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้น เลขที่ 28/15 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 นั้น โจทก์คงมีสิทธิได้ค่าเสียหายต่าง ๆ รวมเป็นเงินเพียง 470,018.72 บาท แม้โจทก์จะมาขอรับเงินในเดือนกรกฎาคม 2558 เป็นเงิน 478,918.72 บาท ก็ยังมีเงินเหลือที่จะต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 กว่า 600,000 บาท ดังนั้น ในวันที่ 2 มีนาคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 45248 พร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้น เลขที่ 28/13 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share