แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 288 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่อ้างว่าเป็นของลูกหนี้เพื่อขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น แต่คดีนี้เป็นเรื่องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและผู้คัดค้านฟ้องแย้งขับไล่ผู้ร้องพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทและคดีถึงที่สุดแล้ว มิใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องใช้เงินแก่ผู้คัดค้านและต้องนำทรัพย์สินของผู้คัดค้านออกขายทอดตลาด จึงไม่อาจนำบทบัญญัติ มาตรา 288 มาบังคับได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอโดยไม่มีการไต่สวนก่อนจึงชอบแล้ว แต่ฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่ปรากฏว่าได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยเหตุผลใด และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้ผู้ร้องรื้อถอนและขนย้ายบ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 4 ตำบลปากท่อ อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี พร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ผู้คัดค้านจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษา
ผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 4 ตำบลปากท่อ อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ซึ่งปลูกบนที่ดินพิพาท มิใช่บริวารของผู้ร้อง การปิดหมายบังคับคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดและระงับการรื้อถอนบ้านดังกล่าว
ผู้คัดค้านให้การว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านบนที่ดินพิพาท ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่ใช่เจ้าของบ้านเป็นเพียงบริวารของผู้ร้อง การปิดหมายบังคับคดีชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดการไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้องขัดทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอโดยไม่มีการไต่สวนพยานก่อนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มีโอกาสได้เข้าต่อสู้คดีว่าเป็นผู้สร้างบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาท ซึ่งจะต้องถูกบังคับคดีให้รื้อถอนบ้านออกจากที่ดินพิพาท เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์มีโอกาสจึงได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์เพื่อนำสืบพยานหลักฐานให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงในคดี การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์โดยไม่ไต่สวนพยานหลักฐานเสียก่อนและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตาม เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่อ้างว่าเป็นของลูกหนี้เพื่อขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น แต่คดีนี้เป็นเรื่องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและผู้คัดค้านฟ้องแย้งขับไล่ผู้ร้องพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทและคดีถึงที่สุดแล้ว มิใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องใช้เงินแก่ผู้คัดค้านและต้องนำทรัพย์สินของผู้คัดค้านออกขายทอดตลาด จึงไม่อาจนำบทบัญญัติ มาตรา 288 มาบังคับได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอโดยไม่มีการไต่สวนก่อนจึงชอบแล้ว แต่ฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยเหตุผลใด และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาผู้ร้องขัดทรัพย์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ผู้ร้องขัดทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ