คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8731/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกับอาวุธปืน เมื่อจำเลยที่ 2 เห็นผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุเข้าใจว่าเป็นพวกของ บ. จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่พกติดตัวมายิงไปที่ผู้เสียหายนั่งอยู่เพราะสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายเป็นพวกของ บ. แต่จำเลยที่ 2 ก็จะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวหาได้ไม่ ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะกระทำต่อพวกของ บ. เช่นใด ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายเช่นนั้นตาม ป.อ. มาตรา 61 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยสำคัญผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 61, 80 (ที่ถูก มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80) และมาตรา 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูก วรรคสอง), 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันยิงปืนโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 10 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ฐานละหนึ่งในสาม และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เฉพาะความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 8 เดือน สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 ฐานดังกล่าวกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 17 เดือน ริบอาวุธปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่นายก้อเดช ผู้เสียหายนั่งคุยกับนางสาววันเพ็ญ บนแคร่ไม้หน้าบ้านเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 มายังที่เกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนลูกซองสั้น ต่อมามีเสียงปืนดัง 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณหลังด้านซ้ายกระสุนปืนฝังในใกล้กระดูกสันหลังซึ่งแพทย์ไม่สามารถผ่าเอากระสุนปืนออกมาได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหาย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา ความผิดทั้งสองฐานจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 เพียงว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ตั้งใจยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่นายบุญพลัด กับพวก แต่ปืนลั่นกระสุนปืนไปถูกผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนายิงผู้เสียหาย โจทก์มีผู้เสียหาย นางสาววันเพ็ญ นายชาตรี และนายสุเชาว์ เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่าขณะที่ผู้เสียหายนั่งคุยกับนางสาววันเพ็ญบนแคร่ไม้หน้าบ้านเกิดเหตุ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายล้มลง แล้วคนร้ายวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่มีคนขับจอดรออยู่ ขับหลบหนีไปนายบุญพลัดเบิกความว่า เดิมพยานกับนางสาวคำแพง เป็นคนรักกัน พักอาศัยอยู่ห้องเช่าและมีร้านขายของชำที่ทำร่วมกันอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ต่อมานางสาวคำแพงไปคบหากับจำเลยที่ 2 จึงเป็นเหตุให้พยานเลิกรากับนางสาวคำแพง แล้วนางสาวคำแพงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 คืนเกิดเหตุพยานปิดร้านขายของชำแล้วกลับไปพักที่ห้องเช่าได้มีนายสุเชาว์มาหาที่ห้องเช่า จนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายสุเชาว์ออกจากห้องเช่าเพื่อจะขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด สักครู่นายสุเชาว์กลับมาหาพยานบอกว่ามีคนถูกยิง พยานไปดูที่เกิดเหตุจึงทราบว่าผู้เสียหายถูกยิงและสอบถามนายบังฮี ไม่ทราบชื่อสกุล ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้ความว่าก่อนเกิดเหตุมีวัยรุ่น 2 คน ขับรถจักรยานยนต์วนเวียนไปมาบริเวณร้านขายของชำของพยานและคนนั่งซ้อนท้ายทำท่าชักอาวุธปืนเล็งมาที่ร้าน แต่มีรถกระบะแล่นสวนมาทำให้วัยรุ่นคนนั่งซ้อนท้ายเก็บอาวุธปืนไว้ที่เอว นายบังฮีจึงมาที่ห้องเช่าของพยานเพื่อจะแจ้งเรื่องดังกล่าวให้พยานทราบ เพราะเชื่อว่าคนร้ายน่าจะมายิงพยาน ต่อมาพยานไปให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ร้อยตำรวจโทอุกฤษณ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรถลางเบิกความว่า หลังได้รับแจ้งเหตุจึงไปที่เกิดเหตุและสอบถามชาวบ้านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงทราบว่าคนร้ายน่าจะเป็นจำเลยที่ 1 พยานจึงไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 1 จึงสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่า คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปที่ห้องเช่าของจำเลยที่ 2 และชวนจำเลยที่ 2 ไปตามหานายบัลลังค์ ไม่ทราบชื่อสกุล ที่บ้านบางโรงเพราะมีเรื่องไม่พอใจกันแต่ตามหาไม่พบ จำเลยที่ 2 จึงให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านอ่าวปอ เมื่อผ่านหน้าร้านขายของชำของนายบุญพลัด จำเลยที่ 2 ชักอาวุธปืนออกจากเอวเล็งไปที่ร้าน แต่มีรถกระบะแล่นสวนมา จำเลยที่ 2 กลัวยิงโดนคนอื่นจึงเก็บอาวุธปืนไว้ที่เอวตามเดิม จากนั้นจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นผู้เสียหายนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้านเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้เสียหาย 1 นัด ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 2 เข้าใจว่าผู้เสียหายคือนายฟารุส ไม่ทราบชื่อสกุล ซึ่งเป็นเพื่อนของนายบุญพลัดที่ไปทำร้ายนางสาวคำแพงก่อนหน้านี้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้และส่งตัวมาควบคุมที่สถานีตำรวจภูธรถลาง พยานจึงสอบถามจำเลยที่ 2 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยที่ 2 ให้การยอมรับว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อเหตุใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเข้าใจผิดว่ากลุ่มของผู้เสียหายไปทำร้ายนางสาวคำแพง ตามบันทึกคำให้การ เห็นว่า จากทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 รู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 2 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่ได้ความจากคำเบิกความของนายบุญพลัดว่า เดิมนางสาวคำแพงเป็นคนรักของพยาน ต่อมานางสาวคำแพงไปคบหากับจำเลยที่ 2 จึงเป็นเหตุให้พยานเลิกรากับนางสาวคำแพง แล้วนางสาวคำแพงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 ซึ่งนางสาวคำแพงพยานโจทก์เบิกความยอมรับยืนยันว่าเป็นความจริง และยังรับว่าเลิกรากันไปแล้ว ตนขอเงินนายบุญพลัด 100,000 บาท เป็นค่าร้านขายของชำที่เคยทำร่วมกัน แต่นายบุญพลัดให้มาเพียง 30,000 บาท และนายฟารุสเพื่อนของนายบุญพลัดยังมาตบตีทำร้ายตนก่อนหน้านี้อีกด้วย นอกจากนี้นางสาวคำแพงยังเบิกความถึงเรื่องที่ผู้เสียหายถูกยิงด้วยว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มาหาจำเลยที่ 2 ที่ห้องเช่าและชวนจำเลยที่ 2 ไปตามหานายบัลลังค์ที่บ้านบางโรงเพราะมีเรื่องไม่พอใจกัน ต่อมาจำเลยที่ 2 กลับมาที่ห้องเช่าและได้เล่าให้ตนฟังว่า จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปตามหานายบัลลังค์แต่ไม่พบ จำเลยที่ 2 จึงชวนให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านอ่าวปอเพื่อตามหานายบุญพลัด เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงไปที่บริเวณห้องพักของนายบุญพลัด แล้ววันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 ก็พาตนหลบหนีไป ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ตามที่นางสาวคำแพงเบิกความสอดคล้องกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ในชั้นจับกุมต่อร้อยตำรวจโทอุกฤษณ์ นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกวีรชาติ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังจากจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 2 ว่าร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน จำเลยที่ 2 ให้การว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 ไปตามหานายบัลลังค์ที่บ้านบางโรงแต่ไม่พบ จำเลยที่ 2 จึงชวนให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านอ่าวปอเพื่อไปดูร้านขายของชำของนายบุญพลัด ซึ่งเดิมนางสาวคำแพงเคยทำร้านขายของชำร่วมกับนายบุญพลัดมาก่อน แต่หลังจากเลิกรากันแล้วนายบุญพลัดได้ยึดร้านขายของชำเป็นของตนฝ่ายเดียว และยิ่งกว่านั้นพวกของนายบุญพลัดยังไปตบตีทำร้ายนางสาวคำแพงก่อนเกิดเหตุ 1 วัน เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงหน้าร้านขายของชำของนายบุญพลัด จำเลยที่ 2 จึงชักอาวุธปืนออกมาจากเอวกะว่าจะยิงขู่ขึ้นฟ้า แต่มีรถยนต์แล่นผ่านไปมาจึงไม่ได้ยิง จากนั้นจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อจะไปยิงปืนขู่ที่หน้าบ้านของนายบุญพลัด เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุจำเลยที่ 2 ก็ชักอาวุธปืนยิงไปในรัศมี 45 องศา ด้วยมือขวาข้างเดียว แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถเร่งความเร็วหลบหนีไป พยานโจทก์ที่นำสืบมาดังกล่าวสอดคล้องกันน่าเชื่อว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกับอาวุธปืน เมื่อจำเลยที่ 2 เห็นผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านเกิดเหตุเข้าใจว่าเป็นพวกของนายบุญพลัด จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่พกติดตัวมายิงไปที่ผู้เสียหายนั่งอยู่เพราะสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายเป็นพวกของนายบุญพลัด แต่จำเลยที่ 2 ก็จะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวหาได้ไม่ ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะกระทำต่อพวกของนายบุญพลัดเช่นใด ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายเช่นนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนายิงผู้เสียหายเพียงแต่ต้องการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่พวกของนายบุญพลัด แต่จำเลยที่ 2 ยังมิได้ลงมือกระทำเนื่องจากปืนลั่นไปถูกผู้เสียหาย นั้น เห็นว่า หากจำเลยที่ 2 ทำปืนลั่นจริงก็น่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ตั้งแต่ต้น แต่ในชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 อ้างต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมว่าเป็นการยิงผิดตัว ชั้นสอบสวนอ้างต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่นายบุญพลัด และในชั้นพิจารณาของศาลจำเลยที่ 2 กลับอ้างว่าทำปืนลั่น ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายและพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้ลงโทษเบาลง นั้น เห็นว่า ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลล่างทั้งสองลงโทษขั้นต่ำและลดโทษให้อีกหนึ่งในสาม จึงเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 อยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะลดโทษลงได้อีก ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share