แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นศพ ตาม ป.อ. มาตรา 199 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงเป็นคดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี แม้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ศาลจึงมีอำนาจฟังพยานโจทก์ จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริง หาจำต้องรับฟังเป็นเด็ดขาดตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อตามทางพิจารณาได้ความว่าคนร้ายร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วเอาศพผู้ตายไปซ่อนไว้เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน และพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมในการปล้นทรัพย์ผู้ตายและซ่อนเร้นศพผู้ตายอย่างไร พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เป็นที่พอใจแก่ศาลว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 199, 340 ริบคีมตัดสายไฟและไม้แผ่นของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคห้า, 199 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันซ่อนเร้นศพ จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกคนละตลอดชีวิต ฐานร่วมกันซ่อนเร้นศพ จำคุกคนละ 3 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกคนละตลอดชีวิตสถานเดียว ริบคีมตัดสายไฟและไม้แผ่นของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยที่ 1 ไว้ในระหว่างฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ฟังยุติเบื้องต้นว่า นางสาววุนนีผู้ตายและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นคนงานฟาร์มไก่ปรารถนาพรฟาร์มของนางวรปรียา ผู้ตายมีบ้านในฟาร์มและชอบสวมใส่สร้อยคอและแหวนทองคำ วันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ผู้ตายไม่ได้มาทำงานฟาร์มตามปกติ วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ญาติของผู้ตายมาตามหาผู้ตายที่ฟาร์มเนื่องจากไม่สามารถติดต่อผู้ตายได้ 2 วันแล้ว นางวรปรียาจึงให้ญาติของผู้ตายไปหาผู้ตายที่บ้าน พบคราบเลือดที่พื้นบ้านไม่พบผู้ตายในบ้านจึงออกตรวจสอบรอบบริเวณจนไปพบศพผู้ตายอยู่ในบ่อเกรอะข้างส้วมเก่า นางวรปรียาจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรบ่อทอง ร้อยตำรวจเอกสุรพล และพันตำรวจโทอธิวัฒน์พนักงานสอบสวนมาที่เกิดเหตุสอบถามนางวรปรียาซึ่งนางวรปรียาสงสัยว่าคนงานฟาร์มไก่ด้วยกันจะเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย จึงติดตามจับกุมจำเลยทั้งสี่ที่เป็นผู้ต้องสงสัยได้ พร้อมยึดของกลางตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายท้ายฟ้อง ซึ่งมีการถ่ายรูปของกลาง สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นค้นตัวได้ของกลางคือ สร้อยคอทองคำ 2 เส้น แหวนทองคำ 1 วง เงินจำนวน 40,000 บาท อยู่ในกระเป๋าสะพายคาดเอว ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและร่วมกันซ่อนเร้นศพ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การรับสารภาพ ตามคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและชี้ของกลางให้ถ่ายรูป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ เห็นว่า เหตุคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้ตายและฆ่าผู้ตายเกิดที่บ้านผู้ตายและตามคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ความว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกับพวกอีกสองคนคือ นายสนิทหรือนิด กับนายวันคนเขมร ปล้นทรัพย์และฆ่าผู้ตายในคืนวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 ที่บ้านผู้ตายแล้วช่วยนำศพผู้ตายไปทิ้งลงบ่อเกรอะ ที่ร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้จับกุมจำเลยทั้งสี่ได้รับแจ้งจากนางวรปรียาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 และมาตรวจที่เกิดเหตุ ติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัย แล้วมาเบิกความถึงเหตุการณ์ในวันที่ 5 ว่า ได้ตรวจสภาพที่เกิดเหตุติดตามจับกุมจำเลยที่ 1 และพบของกลางในตัวจำเลยที่ 1 นั้นไม่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการที่คนร้ายปล้นทรัพย์และฆ่าผู้ตายตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2555 แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า คำเบิกความพยานปากนี้ไม่มีน้ำหนักนั้นถูกต้องแล้ว สำหรับของกลางที่พบในตัวจำเลยที่ 1 จำนวน 2 รายการ คือ สร้อยคอทองคำลายผ่าหวายเป็นข้อเหมือนตะกรุด น้ำหนัก 1 บาท 1 เส้น กับแหวนทองคำน้ำหนัก 2 สลึง 1 วง ซึ่งนางวรปรียายืนยันว่าเป็นของผู้ตายนั้น อาจเป็นของผู้ตายจริงก็ได้ แต่การที่ของกลางดังกล่าวมาอยู่ที่จำเลยที่ 1 หาได้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 นายสนิทหรือนิด และนายวัน ปล้นทรัพย์และฆ่าผู้ตายในคืนวันที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 1 อาจมีความผิดฐานรับของโจรที่รับของกลางไว้เท่านั้น แต่สร้อยและแหวนทองคำที่นางวรปรียายืนยันว่าเป็นของผู้ตายนั้น นางวรปรียาให้เหตุผลว่า “เคยเห็นมาก่อน” เท่านั้น หรืออาศัยเพียงแต่ความจำของนางวรปรียาเท่านั้น พยานโจทก์เบิกความให้เหตุผลว่า เคยเห็นสั้น ๆ ไม่มีพฤติการณ์พิเศษเช่นเห็นหลายครั้งหรือเห็นเพราะผู้ตายเอามาให้ตีราคาดูเลยได้ดูอย่างพิเคราะห์ คำเบิกความของพยานเช่นนี้ ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า สร้อยและแหวนดังกล่าวจะเป็นของผู้ตายจริงหรือไม่ พยานเองก็ยังเบิกความว่าจำเลยที่ 1 โต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 ซื้อมา กรณียังไม่อาจฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจรสร้อยและแหวนทองคำ สำหรับข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นศพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงเป็นคดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี แม้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ศาลจึงมีอำนาจฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริง หาจำต้องรับฟังเป็นเด็ดขาดตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เมื่อตามทางพิจารณาได้ความว่าคนร้ายร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วเอาศพผู้ตายไปซ่อนไว้เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน และพยานหลักฐานของโจทก์ดังที่วินิจฉัยมาไม่พอให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมในการปล้นทรัพย์ผู้ตายและซ่อนเร้นศพผู้ตายอย่างไร พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เป็นที่พอใจแก่ศาลว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน