คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4404/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การทิ้งร้าง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) นั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าคู่ความนั้นจงใจทิ้งร้างไปในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาอีกต่อไป เป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 1 ปี จำเลยออกไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2555 แต่จำเลยกลับมาพักอยู่กับโจทก์ระหว่างวันที่ 11 ถึง 15 กันยายน 2555 อีก จึงยังไม่เกินกว่ากำหนดเวลา 1 ปี และย่อมแสดงว่า จำเลยยังประสงค์จะอยู่กินกับโจทก์ต่อไป แต่โจทก์เป็นฝ่ายเปลี่ยนกุญแจบ้านไม่ให้จำเลยเข้าไปอยู่ในบ้าน และไม่ยอมพูดคุยกับจำเลยเพื่อปรับความเข้าใจ ในขณะที่จำเลยยอมโทรศัพท์ขอโทษมารดาโจทก์และยอมรับผิดกับมารดาโจทก์ มารดาจำเลยก็ไม่ต้องการให้โจทก์จำเลยหย่ากัน โดยนัดโจทก์และมารดาโจทก์มาพูดคุย แต่มารดาโจทก์ก็ไม่ยอมช่วย และบอกว่าโจทก์กับจำเลยต้องแยกกันอยู่ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยยังมีเยื่อใยต่อโจทก์ ต้องการอยู่กับโจทก์ต่อไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ หรือกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) และ (6)
การที่จำเลยแสดงอาการไม่ต้อนรับ ไม่พูดคุยกับมารดาโจทก์ ทั้งไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ในการที่มารดาโจทก์มาพักอาศัยอยู่กับโจทก์นั้น เป็นเพียงพฤติการณ์หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมของจำเลยเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และแบ่งสินสมรสคือที่ดินโฉนดเลขที่ 64294 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 70114 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ 1 หลัง บ้านคอนกรีต 1 หลัง และที่ดินโฉนดเลขที่ 52942 เนื้อที่ประมาณ 66 ตารางวา ให้โจทก์และจำเลยได้รับคนละส่วนเท่ากันคือคนละ 600,000 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันและอยู่กินด้วยกันที่กรุงเทพมหานคร โจทก์และจำเลยทำงานอยู่ที่เดียวกัน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 จำเลยเก็บของออกจากบ้านแล้วไม่กลับมาหาโจทก์ที่บ้านอีก โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่และไม่พูดคุยกัน เมื่อคิดถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และนางศรีวรรณ มารดาโจทก์ เมื่อระหว่างวันที่ 11 ถึง 15 กันยายน 2555 จำเลยกลับเข้าไปพักอยู่กับโจทก์ที่บ้านโดยจำเลยได้เข้าไปอยู่ในห้องที่โจทก์เตรียมไว้ให้นางศรีวรรณอยู่ แต่ขณะนั้นนางศรีวรรณยังไม่กลับจากต่างประเทศ ต่อมาอีก 2 วัน โจทก์แจ้งเรื่องดังกล่าวให้นางศรีวรรณทราบ นางศรีวรรณจึงบอกให้โจทก์เปลี่ยนกุญแจบ้านเพื่อไม่ให้จำเลยกลับเข้าบ้านได้ เมื่อโจทก์เปลี่ยนกุญแจบ้านแล้วก็ส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (SMS) แจ้งให้จำเลยทราบว่าไม่ต้องกลับเข้ามาที่บ้านอีก เมื่อนางศรีวรรณ กลับมาอยู่บ้าน จำเลยโทรศัพท์ไปหานางศรีวรรณพูดขอโทษและยอมรับผิดทุกอย่าง แต่นางศรีวรรณบอกว่าสายไปแล้ว ฝ่ายจำเลยและนางศุภรางค์ มารดาจำเลยเบิกความว่า เมื่อโจทก์ขอหย่ากับจำเลย โดยโจทก์โทรศัพท์มาบอกกับมารดาจำเลย มารดาจำเลยได้นัดเจรจากับมารดาของโจทก์แต่มารดาโจทก์ใช้มือทุบโต๊ะ และบอกว่าโจทก์จำเลยไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ ต้องแยกกันอยู่ การเจรจาจึงตกลงกันไม่ได้ เห็นว่า การที่คู่สมรสฝ่ายใดจงใจทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี อันเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) นั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าคู่ความนั้นจงใจทิ้งร้างไปในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 1 ปี โดยการไม่หวนกลับไปหานั้น มีความหมายว่าไม่ประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาอีกต่อไป ข้อเท็จจริงที่ได้จากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยแสดงว่า จำเลยออกไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2555 แต่จำเลยกลับมาพักอยู่กับโจทก์ระหว่างวันที่ 11 ถึง 15 กันยายน 2555 อีก ข้อเท็จจริงจึงได้ความว่า จำเลยทิ้งร้างไปยังไม่เกินกว่ากำหนดเวลา 1 ปี และจากข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมแสดงว่า จำเลยยังประสงค์จะอยู่กินกับโจทก์ต่อไป แต่โจทก์เป็นฝ่ายไม่ต้องการให้จำเลยกลับมาอยู่กินกับโจทก์ โดยเปลี่ยนกุญแจบ้านไม่ให้จำเลยเข้าไปอยู่ในบ้าน และโจทก์ไม่ยอมพูดคุยกับจำเลยปรับความเข้าใจ ในขณะที่จำเลยยอมโทรศัพท์ขอโทษมารดาโจทก์และยอมรับผิดกับมารดาโจทก์ มารดาจำเลยก็ไม่ต้องการให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ได้นัดโจทก์และมารดาโจทก์มาพูดคุย แต่มารดาโจทก์ก็ไม่ยอมช่วย และบอกว่าโจทก์กับจำเลยต้องแยกกันอยู่ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยยังมีเยื่อใยต่อโจทก์ ต้องการอยู่กับโจทก์ต่อไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ หรือกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) และ (6) ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า การที่จำเลยแสดงอาการไม่ต้อนรับ ไม่พูดคุยกับมารดาโจทก์ ทั้งไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ในการที่มารดาโจทก์มาพักอาศัยอยู่กับโจทก์เป็นการทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงนั้น เห็นว่า เป็นเพียงพฤติการณ์หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมของจำเลยเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share