คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีนี้มาจากโจทก์ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 บัญญัติให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นได้ อันเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้พิเศษนอกเหนือไปจากบททั่วไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ที่บัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) เท่านั้นที่มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดี เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อคดีอยู่ระหว่างการขายเช่นนี้ แสดงว่าการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้น ย่อมเป็นสิทธิของผู้ร้องตามกฎหมายที่จะร้องขอเข้าสวมสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อดำเนินการบังคับคดีสืบต่อจากโจทก์ได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาการบังคับคดีไปแล้วก็ตาม เพราะตราบใดที่สิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ยังไม่หมดสิ้น ผู้ร้องก็ชอบที่จะเข้าสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ได้ตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ ทั้งมิใช่เรื่องการร้องสอดดังที่อ้าง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 4,503,369.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยโดยผ่อนชำระ กับค่าฤชาธรรมเนียม และค่าประกันอัคคีภัย หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 86160 ตำบลฉิมพลี อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระจนครบ จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีชื่อจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2543 และอยู่ระหว่างการขายทอดตลาด
วันที่ 16 มกราคม 2556 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 โจทก์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและหลักประกันที่มีอยู่แก่จำเลยทั้งสองในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้องตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 และผู้ร้องบอกกล่าวการโอนให้แก่จำเลยทั้งสองทราบแล้ว ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์เดิม
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิม ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนผู้ร้อง 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่คู่ความฝ่ายชนะคดีที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ ทั้งคำร้องของผู้ร้องยื่นเข้ามาเมื่อพ้นกำหนดเวลาการบังคับคดีสิบปีแล้ว และพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ร้องจะเข้าสวมสิทธิเมื่อพ้นกำหนดเวลาการบังคับคดีแล้วได้ เห็นว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีนี้มาจากโจทก์ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 บัญญัติให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นได้ อันเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้พิเศษนอกเหนือไปจากบททั่วไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ที่บัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) เท่านั้นที่มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดี เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อคดีอยู่ระหว่างการขายเช่นนี้ แสดงว่าการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้น ย่อมเป็นสิทธิของผู้ร้องตามกฎหมายที่จะร้องขอเข้าสวมสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อดำเนินการบังคับคดีสืบต่อจากโจทก์ได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาการบังคับคดีไปแล้วก็ตาม เพราะตราบใดที่สิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ยังไม่หมดสิ้น ผู้ร้องก็ชอบที่จะเข้าสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ได้ตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ ทั้งมิใช่เรื่องการร้องสอดดังที่จำเลยทั้งสองอ้างมาในฎีกา คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share