คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8311/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยลงทุนตกแต่งปรับปรุงอาคารพิพาท แม้เป็นเงินจำนวนมากก็เป็นการดำเนินการเพื่อให้การประกอบกิจการร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ของจำเลย เป็นไปตามเงื่อนไขที่เจ้าของกิจการกำหนดอันเป็นประโยชน์ของจำเลยเอง ประกอบกับสัญญาเช่ามีข้อตกลงด้วยว่า “การให้เช่าพื้นที่ต่อไปเมื่อหมดอายุสัญญานี้จะมีหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของผู้ให้เช่า” แสดงว่า เมื่อครบกำหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่า จำเลยจะมีโอกาสเช่าอาคารพิพาทต่อเป็นปีที่ 4 และปีที่ 5 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความพอใจของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว หากโจทก์ไม่ยินยอมต่อสัญญาเช่าให้จำเลย สัญญาเช่าเป็นอันสิ้นสุดลงทันทีอันมิใช่ลักษณะของสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าสัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โจทก์ต้องยอมให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทเป็นเวลา 5 ปี จึงรับฟังไม่ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับผู้คัดค้านชำระเงินตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และค่าธรรมเนียมใช้แทน 14,106 บาท แก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการ สมาคมประกันวินาศภัย ขอให้ผู้คัดค้านชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยที่ผู้ร้องรับช่วงสิทธิจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยและทายาทของผู้เสียชีวิตตามคำเสนอข้อพิพาท ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 19388-19390/2557 พิพากษาว่า นายจำนงค์ จำเลยผู้ขับรถยนต์โดยสารที่ผู้คัดค้านรับประกันภัย กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อนุญาโตตุลาการจึงมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 1,230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ยื่นคำสนอข้อพิพาทจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง กับให้ใช้ค่าธรรมเนียมจำนวน 14,106 บาท แทนผู้ร้องด้วย โดยให้ชำระเสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำชี้ขาด
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า จะยอมรับและบังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่ เห็นว่า ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านอ้างว่า ในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดตามข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยต่างฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19388-19390/2557 วินิจฉัยว่า นายจำนงค์จำเลยในคดีดังกล่าวกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายไมตรีขับรถยนต์ตู้ที่ผู้ร้องรับประกันภัยด้วยความเร็วสูงดังจำเลยอ้างก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความผิดตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยเพียงว่าข้ออ้างของฝ่ายจำเลยฟังไม่ขึ้นโดยไม่ได้วินิจฉัยว่านายไมตรีมีส่วนกระทำโดยประมาทด้วย ที่คำพิพากษาของศาลฎีกาให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เป็นเพียงให้ผลคำพิพากษาส่วนความผิดและโทษเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงส่วนคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นด้วย คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ส่วนข้อต่อสู้ของผู้คัดค้านที่ว่า ผู้ร้องไม่อาจรับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตเพราะกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ส่วนนี้มีลักษณะเป็นประกันชีวิต นั้น เห็นว่า เจ้าของรถยนต์เอาประกันภัยสำหรับความเสี่ยงภัยกรณีอุบัติเหตุที่ตนต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตตามสำเนาตารางกรมธรรม์ กรมธรรม์ดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ไม่ใช่กรณีผู้เสียหายเคยเอาประกันภัยไว้เองอันเป็นสัญญาประกันชีวิต ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิรับช่วงสิทธิเรียกให้ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้รับประกันภัยต้องจ่ายไปตามกรมธรรม์ สำหรับข้อต่อสู้ของผู้คัดค้านที่ว่าอนุญาโตตุลาการไม่นำค่าซากรถยนต์ที่ขายได้มาหักออกจากค่าสินไหมทดแทน เห็นว่า ในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้คัดค้านไม่ได้คัดค้านในประเด็นนี้ การคำนวณค่าซากรถและความเหมาะสมที่จะนำมาหักออกจากค่าสินไหมทดแทนหรือไม่เป็นดุลพินิจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งไม่เป็นเหตุในกฎหมายที่จะเพิกถอนหรือปฏิเสธไม่รับบังคับคดีตามคำชี้ขาดตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 และมาตรา 43 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการคดีนี้ย่อมได้รับการยอมรับและบังคับตามได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแทนผู้ร้อง ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share