คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2154/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 ได้แยกองค์ประกอบความผิดออกเป็นหลายประการ เนื่องจากการกระทำความรุนแรงในครอบครัวมีลักษณะการกระทำความผิดได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะกระทำต่อผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อมุ่งประสงค์หรือมีเจตนาที่จะให้ผู้ถูกระทำด้วยความรุนแรง ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย จิตใจ สุขภาพ หรือจำต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดโดยฝ่าฝืนใจโดยมิชอบเพราะถูกข่มเหงบังคับหรือใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมให้จำต้องกระทำการ การกำหนดองค์ประกอบความผิดที่ครอบคลุมถึงทุกลักษณะก็เพื่อสามารถกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อการบรรเทาทุกข์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ครบถ้วน สะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งป้องกันมิให้ผู้กระทำผิดอาศัยช่องว่างของกฎหมายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์หรือใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกกระทำความรุนแรงซ้ำรอยอีก
การที่จำเลยนำกระดาษเขียนข้อความมาติดที่หน้าบ้านโจทก์จนสีกะเทาะล่อน สีและปูนผนังรั้วเสียหาย ส่งเสียงตะโกนโวยวายหน้าบ้าน วิ่งวนไปมาหน้าบ้านโจทก์ นำลูกโป่งและสิ่งของมาผูกวางหน้าบ้านและโยนเข้าไปในบ้านโจทก์ และกดกริ่งหน้าบ้านโจทก์เป็นเวลานาน ๆ จนกริ่งไฟฟ้าเสียหาย เพื่อมุ่งประสงค์ให้โจทก์ส่งมอบหรือบังคับให้ผู้เยาว์ออกมาพบหรือพูดคุยกับจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามจำเลยก็ไม่ยุติการกระทำดังกล่าว เป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมายและเป็นการรบกวนความเป็นปกติสุขของโจทก์ เป็นการบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมที่เป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมจรรยาอันดีของประชาชน ผิดวิสัยวิญญูชนทั่วไปจะพึงปฏิบัติกันด้วยวิธีการโดยมิชอบ จำเลยกระทำต่อโจทก์ที่เป็นคู่สมรสเดิมซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวตามความหมายที่บัญญัติในมาตรา 3 จึงเป็นความผิดตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 ปรับ 6,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 ได้นิยามความหมาย ความรุนแรงในครอบครัวไว้ว่า หมายถึง การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท จากบทบัญญัติข้างต้นกฎหมายได้แยกองค์ประกอบความผิดออกเป็นหลายประการด้วยกัน เนื่องจากการกระทำความรุนแรงในครอบครัวมีลักษณะการกระทำความผิดได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะกระทำต่อผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อมุ่งประสงค์หรือมีเจตนาที่จะให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย จิตใจ สุขภาพ หรือจำต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดโดยฝ่าฝืนใจโดยมิชอบเพราะถูกข่มเหงบังคับหรือใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมให้จำต้องกระทำการเป็นต้น นอกจากนี้การกำหนดองค์ประกอบความผิดที่ครอบคลุมถึงทุกลักษณะการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ก็เพื่อสามารถกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อการบรรเทาทุกข์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ครบถ้วน สะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งป้องกันมิให้ผู้กระทำผิดอาศัยช่องว่างของกฎหมายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์หรือใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงซ้ำรอยอีก ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ จำเลยนำกระดาษเขียนข้อความมาติดที่หน้าบ้านโจทก์จนสีกะเทาะล่อน สีและปูนผนังรั้วเสียหาย ส่งเสียงตะโกนโวยวายหน้าบ้าน วิ่งวนไปมาหน้าบ้านโจทก์ นำลูกโป่งและสิ่งของมาผูกวางหน้าบ้านและโยนเข้าไปในบ้านโจทก์ และกดกริ่งหน้าบ้านโจทก์เป็นเวลานานๆ จนกริ่งไฟฟ้าเสียหาย โดยจำเลยกระทำการดังกล่าวเพื่อมุ่งประสงค์ให้โจทก์ส่งมอบหรือบังคับให้ผู้เยาว์ออกมาพบหรือพูดคุยกับจำเลยด้วย เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามจำเลยก็ไม่ยุติการกระทำดังกล่าว การกระทำของจำเลยเช่นนี้นอกจากเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมายและเป็นการรบกวนความเป็นปกติสุขของโจทก์แล้ว ยังถือเป็นการบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมที่เป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมจรรยาอันดีของประชาชน ผิดวิสัยวิญญูชนทั่วไปจะพึงปฏิบัติกัน เพื่อบีบคั้นให้โจทก์ผู้เป็นมารดาผู้เยาว์จำต้องกระทำการคือพาผู้เยาว์ออกมาพบหรือพูดคุยกับจำเลยตามที่จำเลยต้องการด้วยวิธีการโดยมิชอบ จำเลยกระทำต่อโจทก์ที่เป็นคู่สมรสเดิมซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวตามความหมายที่บัญญัติในมาตรา 3 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง จำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงทั้งหมด เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ลดโทษปรับให้แก่จำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จึงเห็นสมควรแก้ไข และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 โดยไม่ระบุวรรคและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้มีคำพิพากษาแก้ไข จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเสีย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ลงโทษปรับ 6,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share