คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10026/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า คำให้การจำเลยไม่ชัดแจ้ง คดีไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องไม่ชอบ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หมายถึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามรูปคดีคือ หากมีประเด็นข้อพิพาทอื่นที่ต้องสืบพยานก็ให้สืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาคดีใหม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้พิพากษาเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้งหมด ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานและสืบพยานโจทก์และจำเลยไปแล้วจึงยังมีกระบวนพิจารณาดังกล่าวอยู่ จำเลยไม่อาจอาศัยเหตุการย้อนสำนวนขอยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเพื่อจะได้มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจฟ้องได้ ทั้งคดีนี้ไม่มีการชี้สองสถาน จำเลยต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน จึงเป็นการล่วงเลยเวลาที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจาก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางลัดดาวัลย์ ฟ้องและดำเนินคดีแทน นายชาญ เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทำพินัยกรรมยกที่ดินสินสมรสแก่จำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ เป็นการทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินกว่าส่วนของตน ตกเป็นโมฆะ หลังจากนายชาญถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสองจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินตามพินัยกรรมเป็นของตน ขอให้บังคับเพิกถอนพินัยกรรมและเพิกถอนพินัยกรรมการจดทะเบียนของจำเลยทั้งสอง กับให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยทั้งสองให้การว่า หนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องจะเป็นลายมือโจทก์จริงหรือไม่ จำเลยทั้งสองไม่รับรอง โจทก์รู้เห็นยินยอมการทำพินัยกรรมของนายชาญ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้น เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ดำเนินคดีแทนโจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดี พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับประเด็นการมอบอำนาจเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้ง คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า คำให้การจำเลยทั้งสองมีความบกพร่อง ขอแก้ไขในข้อ 1 บรรทัดที่ 3 จาก “จะเป็นลายมือโจทก์จริงหรือไม่จำเลยทั้งสองไม่ขอรับรอง” เป็น “ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องโจทก์เป็นลายมือชื่อปลอมไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์”
โจทก์คัดค้านว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยแล้วว่า คำให้การจำเลยทั้งสองไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่อาจขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเพิ่มประเด็นดังกล่าวได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นสืบพยานจนกระทั่งมีคำพิพากษาและศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาวินิจฉัยคำให้การของจำเลยทั้งสองว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้อง และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หมายถึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปในประเด็นอื่น ๆ ที่เหลืออยู่และทำคำพิพากษาใหม่ มิได้ย้อนสำนวนกลับไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เมื่อคำให้การจำเลยทั้งสองไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องจนล่วงเลยมาถึงวันสืบพยานซึ่งพ้นกำหนดเวลาที่จำเลยทั้งสองสามารถแก้ไขคำให้การได้แล้ว ทั้งประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องมิใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่ใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ประกอบกับไม่มีเหตุอันสมควรให้จำเลยทั้งสองแก้ไขคำให้การโดยเพิ่มประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องและมีคำสั่งยกคำร้อง และเห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ จึงงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับเฉพาะอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ ส่วนคำสั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในปัญหาข้อกฎหมายประเด็นเดียวว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 บัญญัติว่า “การแก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การที่คู่ความเสนอต่อศาลไว้แล้ว ให้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลก่อนวันชี้สองสถาน หรือก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน….” คดีนี้ศาลชั้นต้นไม่ได้ชี้สองสถาน แต่ได้นัดสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นแล้วพิพากษาคดี เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดี โดยวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 185 วรรคสอง และมาตรา 142 เพราะคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นคำให้การที่ไม่แจ้งชัดว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ในเรื่องอำนาจฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจฟ้องและพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงหมายถึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปตามรูปคดีคือ หากมีประเด็นข้อพิพาทอื่นที่ต้องสืบพยานก็ให้สืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาคดีใหม่แต่คดีนี้เมื่อจำเลยทั้งสองแถลงสละประเด็นข้อพิพาทอื่นทั้งหมด จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทอื่น ที่ศาลชั้นต้นจะต้องสืบพยานต่อไปอีก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ชอบที่จะพิจารณาพิพากษาคดีไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไป ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ให้เป็นการเสียเวลาอีก แต่อย่างไรก็ดีเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีแล้ว การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเข้ามาใหม่จึงเป็นการล่วงเลยเวลาที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 เพราะคดีนี้ไม่มีการชี้สองสถาน จำเลยทั้งสองต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ทั้งหมด กล่าวคือต้องนัดสืบพยานใหม่แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไป จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้พิพากษาเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้งหมด ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานและสืบพยานโจทก์จำเลยไปแล้วจึงยังมีกระบวนพิจารณาดังกล่าวอยู่ จำเลยทั้งสองไม่อาจอาศัยเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง มาเพื่อขอยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเพื่อจะได้มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจฟ้องต่อสู้คดีได้อีก จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ย่อมทำให้กระบวนพิจารณาสืบพยานที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปเพิกถอนไปด้วย และถือว่าคดีนี้ไม่มีวันสืบพยาน คู่ความสามารถขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องและคำให้การได้นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share