คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในการเลิกจ้างกรณีปกติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการพิจารณาเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และการที่ลูกจ้างจะเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรอผลการวินิจฉัยในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมเสียก่อน เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าซึ่งตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 บัญญัติว่า “ค่าชดเชย หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง” ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงินที่จ่ายให้ กรณีนายจ้างไม่บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 และ ป.พ.พ. มาตรา 582 วรรคสอง แล้วแต่กรณี กรณีฟ้องของโจทก์อายุความจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2547 อันเป็นวันเลิกจ้างซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 จึงเกินกำหนดสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชย 36,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้อง 54,000 บาท รวม 90,000 บาท และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 24,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้อง 18,000 บาท และให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากต้นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าข้างต้นนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้นดังกล่าวเสร็จแก่โจทก์
ในชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลแรงงานภาค 7 ตรวจพิเคราะห์คำฟ้องแล้วเห็นว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 และมูลหนี้ตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์ต้องนำมูลหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา 27 ประกอบมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานภาค 7 วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความ ศาลแรงงานภาค 7 เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์และจำเลย ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลแรงงานภาค 7 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่ 20 ตุลาคม 2547 ตามหนังสือเรื่องการบอกเลิกสัญญาจ้างฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2547 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อาจบังคับเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้นับตั้งแต่วันเลิกจ้างดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 แล้ววินิจฉัยว่าคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์อ้างว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งกันว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุใดและเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121 หรือไม่ โจทก์จึงมีคำขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์เข้าทำงานตามเดิม กรณีจึงไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จนกว่าจะได้วินิจฉัยข้อโต้แย้งดังกล่าว ข้อโต้แย้งดังกล่าวเพิ่งถึงที่สุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2557 และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยขอให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามหนังสือเลิกจ้างให้แก่โจทก์ โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในการเลิกจ้างกรณีปกติ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการพิจารณาเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และการที่ลูกจ้างจะเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรอผลการวินิจฉัยในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมเสียก่อน เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าชดเชยและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 บัญญัติว่า “ค่าชดเชย หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง” ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงินที่จ่ายให้ กรณีนายจ้างไม่บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 วรรคสอง แล้วแต่กรณี กรณีฟ้องของโจทก์อายุความจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2547 อันเป็นวันเลิกจ้างซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 11 ธันวาคม 2557 จึงเกินกำหนดสิบปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ศาลแรงงานภาค 7 วินิจฉัยว่าคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน

Share