คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4768/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้และคดีก่อนมีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญา เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้แล้ว คำฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 แต่คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด หากในชั้นที่สุดศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยคดีนี้เป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญา ผลของคำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ทำให้คดีนี้ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยต้องชำระค่าก่อสร้างงวดที่ 7 ถึง 9 แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด จึงควรรอฟังผลคดีดังกล่าวให้ถึงที่สุดเสียก่อนแล้วพิพากษาคดีนี้ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ 8,735,339.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) สาขาอาคารไทยวา จำนวน 4 ฉบับ ฉบับที่ 1 เลขที่ 0945011914 QCMPG 055334 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2552 วงเงิน 3,300,017.59 บาท ฉบับที่ 2 เลขที่ 0945011914 QCMPG 064712 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2553 วงเงิน 1,287,943.17 บาท ฉบับที่ 3 เลขที่ 0945011914 QCMPG 064713 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2553 วงเงิน 1,287,943.16 บาท และฉบับที่ 4 เลขที่ 0945011914 QCMPG 065636 ลงวันที่ 29 เมษายน 2553 วงเงิน 2,575,886.33 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 5,776,180.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 พฤษภาคม 2554) ไม่ให้เกิน 226,054.07 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์รับจ้างจำเลยปรับปรุงก่อสร้างโครงการอาคารไทมส์ สแควร์ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่26 สิงหาคม 2552 เป็นการปรับปรุงก่อสร้างอาคารเฟส เอ เป็นเงิน 33,000,175.93 บาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2553 เป็นการปรับปรุงก่อสร้างอาคารเฟส บี เป็นเงิน 25,758,863.27 หลังจากทำสัญญาโจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารเฟส เอ ในงานงวดที่ 7 ที่ 7.1 และที่ 8 เสร็จแล้ว โดยจำเลยได้ตรวจและเซ็นรับมอบงานแล้ว คิดเป็นเงินค่าจ้างในส่วนนี้เป็นเงิน2,246,721.06 บาท และโจทก์ยังก่อสร้างงานในอาคารเฟส เอ งวดที่ 9 จนแล้วเสร็จและส่งมอบงานให้จำเลยแล้ว คิดเป็นเงินค่าจ้าง 1,275,553.37 บาท ส่วนการก่อสร้างอาคารเฟส บี โจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จงานในงวดที่ 8 คิดเป็นเงินค่าจ้าง 2,253,906.06 บาท โจทก์ได้มีหนังสือให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างดังกล่าว แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญา หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยในคดีนี้ได้ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ 1982/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 497/2556 ของศาลชั้นต้น เรียกให้โจทก์ในคดีนี้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์คดีนี้ผิดสัญญาจ้างทำของ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 โดยฟังว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยายโจทก์ในคดีนี้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ในคดีนี้ฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 497/2556 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดชำระเงินค่างวดงานตามสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารไทมส์สแควร์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ผิดสัญญาเนื่องจากก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จึงไม่มีสิทธิเบิกค่าจ้าง ส่วนคดีหมายเลขแดงที่ 497/2556 ของศาลชั้นต้น จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกให้โจทก์คดีนี้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ผิดสัญญาจ้างดังกล่าว คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงมีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้แล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวได้พิพากษาชี้ขาดแล้ว ก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 144 เช่นกัน แม้คดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาเมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด หากในชั้นที่สุดศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยคดีนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ทำให้คดีนี้ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยต้องชำระค่าก่อสร้างงวดที่ 7 ถึงที่ 9 แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ดังนั้น หากให้รอฟังผลคดีหมายเลขแดงที่ 497/2556 ของศาลชั้นต้น ให้ถึงที่สุดเสียก่อนแล้วพิพากษาคดีต่อไป ย่อมทำให้ความยุติธรรมคดีนี้ดำเนินไปด้วยดี การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่หยิบยกประเด็นเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำขึ้นวินิจฉัย โดยยังคงวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและพิพากษา จึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลในคดีหมายเลขแดงที่ 497/2556 ของศาลชั้นต้นจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดแล้วพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share