คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยติดตั้งสายไฟฟ้าบนรั้วคอนกรีตพิพาทของโจทก์ในลักษณะที่เป็นอันตรายและไม่ปลอดภัยแก่โจทก์และบุคคลอื่น ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสายไฟฟ้าออกจากรั้วคอนกรีตพิพาทของโจทก์ จำเลยให้การว่า รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยรวมกัน การติดตั้งสายไฟฟ้าบนรั้วคอนกรีตพิพาทไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ และจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เมื่อได้ความว่า รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยรวมกัน และการติดตั้งสายไฟฟ้าของจำเลยไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยแก้ไขการต่อสายไฟฟ้าจากมิเตอร์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายถึงตู้ประธานบ้านจำเลยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างมาในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างและพิพากษาให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อสายไฟฟ้าออกจากรั้วคอนกรีตของโจทก์ดังกล่าว หากจำเลยไม่ยอมรื้อสายไฟฟ้าก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อแทนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแก้ไขการต่อสายไฟฟ้าจากมิเตอร์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคถึงตู้ประธาน บ้านเลขที่ 32/3 (ที่ถูก 32/2) หมู่ที่ 15 ตำบลเวียง (ที่ถูก ตำบลรอบเวียง) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยใช้ลวดอลูมิเนียมขนาด 10 มิลลิเมตร มัดสายไฟฟ้าที่ต่อจากแร็คและเพิ่มท่อร้อยสายไฟฟ้าชนิดเอชดีพีอีให้ยาวขึ้นรับกับแร็ก หากจำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์ดำเนินการเองด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสายไฟฟ้าออกจากกำแพงรั้วคอนกรีตของโจทก์บ้านเลขที่ 111/3 หมู่ที่ 15 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ตามแนวเขตหมายเลข 1 ในแผนผังโดยสังเขปหากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนสายไฟฟ้าดังกล่าวให้โจทก์เป็นผู้รื้อโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 106611 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และบ้านเลขที่ 32/2 หมู่ที่ 15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวตามสำเนาโฉนดที่ดิน ส่วนโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 126593 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ตามสำเนาโฉนดที่ดิน โดยนายสนั่น เจ้าของที่ดินเดิมแบ่งขายที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่อยู่ด้านหน้าติดถนนสันโค้งน้อยให้แก่โจทก์ แล้วโจทก์ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์เลขที่ 111/3 หมู่ที่ 15 ลงบนที่ดินแปลงดังกล่าว เดิมที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินของนายสนั่นตลอดแนวทั้งแปลงโดยมีรั้วคอนกรีตแบ่งกั้นแนวเขตระหว่างที่ดินของจำเลยกับที่ดินของนายสนั่น เมื่อนายสนั่นแบ่งขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ให้แก่โจทก์ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกจึงติดกับของจำเลย โดยมีรั้วคอนกรีตพิพาทซึ่งเป็นรั้วช่วงที่นายโม่ บิดาของนายสนั่นเป็นผู้สร้างแบ่งกั้นแนวเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยตามแผนผังโดยสังเขป ในส่วนที่เขียนหมายเลข 1 กำหนดไว้และภาพถ่าย ภาพบน เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2555 จำเลยเดินสายไฟฟ้าจากมิเตอร์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ที่อยู่บนเสาไฟฟ้าด้านหน้าอาคารพาณิชย์ของโจทก์เข้าสู่บ้านเลขที่ 32/2 ของจำเลย โดยยึดสายไฟฟ้าประเภททีเอชดับบลิวที่ร้อยท่อประเภทเอชดีพีอีติดตั้งไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทในฝั่งบ้านจำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตพิพาทรวมกันหรือไม่ เห็นว่า ตามแผนผังโดยสังเขป และภาพถ่ายหมาย รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของรั้วคอนกรีตที่แบ่งกั้นแนวเขตระหว่างที่ดินของจำเลยกับที่ดินของโจทก์และที่ดินของนายสนั่นตลอดแนวทั้งแปลง โดยเป็นรั้วที่ก่อสร้างขึ้นก่อนที่โจทก์จะซื้อที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน จากนายสนั่นเจ้าของที่ดินเดิม เมื่อฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างไม่สามารถยืนยันได้ว่ารั้วคอนกรีตดังกล่าวปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของฝ่ายใด ทั้งนายสนั่นเจ้าของที่ดินเดิมก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่ารั้วคอนกรีตพิพาทสร้างกลางหมุดที่ดินหรือสร้างขยับเข้าไปในที่ดินของนายสนั่นเช่นนี้ กรณีจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของที่ดินทั้งสองข้างเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตดังกล่าวรวมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1344 โจทก์กล่าวอ้างว่ารั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว ที่โจทก์นำสืบว่า ฝ่ายนายสนั่นเป็นผู้สร้างรั้วคอนกรีตพิพาทซึ่งเป็นรั้วล้อมรอบที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่โจทก์ซื้อมาจากนายสนั่น โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรั้วคอนกรีตพิพาทด้วยนั้น พยานโจทก์ปากนายสนั่นก็เบิกความยืนยันว่า ขณะพยานขายบ้านและที่ดินให้แก่โจทก์ พยานไม่ได้บอกโจทก์ว่ารั้วเป็นของพยาน ทั้งพยานยังเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยต่อไปว่า รั้วคอนกรีตที่สร้างขึ้นดังกล่าวกั้นระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยและพยานแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกบิดาของพยานเป็นผู้สร้าง ช่วงกลางของรั้วสามีของจำเลยเป็นผู้สร้าง และรั้วด้านในสุดพยานเป็นผู้สร้าง โดยที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนของโจทก์จะมีทั้งรั้วที่ฝ่ายบิดาของพยานกับสามีของจำเลยเป็นผู้สร้าง พยานไม่เคยนำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดแนวเขตว่ารั้วอยู่ในเขตที่ดินใคร ซึ่งเมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายสนั่นประกอบกับภาพถ่าย ที่ปรากฏภาพรั้วคอนกรีตที่สร้างขึ้นในแต่ละช่วงดังกล่าวเป็นแนวตรงต่อเนื่องกันไปตามรูปที่ดินแล้ว เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่านายสนั่นและบิดาของนายสนั่นกับสามีของจำเลยต่างร่วมกันสร้างรั้วคอนกรีตดังกล่าวขึ้นตามสภาพแนวเขตที่ดินของจำเลยและของนายสนั่นด้านที่อยู่ติดต่อกันตามรูปแผนที่ในสำเนาโฉนดที่ดิน และแผนผังโดยสังเขป โดยมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างรั้วแต่ละช่วงตามที่แต่ละฝ่ายใช้ประโยชน์ เพื่อแบ่งกั้นแนวเขตระหว่างที่ดินของจำเลยกับที่ดินของนายสนั่น หาได้มีลักษณะเป็นการสร้างรั้วในแต่ละช่วง เพื่อถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายแต่อย่างใดไม่ หากนายสนั่นและบิดาของนายสนั่นกับสามีของจำเลยต่างประสงค์ที่จะสร้างรั้วคอนกรีตในแต่ละช่วงโดยถือกรรมสิทธิ์ในรั้วที่สร้างขึ้นต่างหากจากกันแล้ว ก่อนสร้างรั้วย่อมต้องมีการรังวัดสอบเขตที่ดินของแต่ละฝ่ายและรั้วที่ก่อสร้างขึ้นย่อมไม่อาจสร้างเป็นแนวตรงต่อเนื่องกันไปตามรูปที่ดินโดยตลอดเช่นนี้ ส่วนที่โจทก์ยื่นคำแก้ฎีกาของจำเลยว่า ข้อที่จำเลยฎีกากล่าวอ้างว่ารั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมกันเพราะมีการแบ่งหน้าที่กันสร้างรั้วนั้น ตามคำให้การของจำเลยเพียงแต่อ้างว่ารั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกำแพงที่แบ่งกั้นแนวเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลย ซึ่งที่ดินทั้งสองข้างต่างเป็นเจ้าของรวมกัน มิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ว่าที่รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมกันเพราะร่วมกันสร้างหรือแบ่งหน้าที่กันสร้างแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 นั้น ตามคำให้การของจำเลยปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรั้วคอนกรีตพิพาทซึ่งล้อมรอบที่ดินของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกำแพงที่แบ่งกั้นแนวเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลย ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของรวมกัน แม้ตามคำให้การมิได้อ้างว่ารั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมกันเพราะร่วมกันสร้างหรือแบ่งหน้าที่กันสร้างก็ตาม แต่ก็เป็นการอ้างถึงที่มาเพื่อแสดงให้เห็นว่ารั้วคอนกรีตพิพาทโจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของรวมกัน ไม่ใช่เป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง จำเลยจึงมีสิทธิยกขึ้นอ้างในฎีกาได้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในประเด็นตามคำให้การของจำเลย มิใช่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาแต่อย่างใด เมื่อพยานโจทก์ปากอื่นๆ ที่เหลือต่างมิได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการก่อสร้างรั้วคอนกรีตพิพาท และคงเบิกความไปตามความคิดเห็นของตนเช่นนี้ พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบมาว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตพิพาทรวมกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยเดินสายไฟฟ้าโดยยึดสายไฟฟ้าที่ร้อยท่อติดไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตพิพาทรวมกัน โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมจึงมีสิทธิใช้รั้วคอนกรีตพิพาทได้ เพียงแต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคแรก และมาตรา 421 เมื่อจำเลยเดินสายไฟฟ้าโดยยึดสายไฟฟ้าที่ร้อยท่อติดไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทในฝั่งบ้านจำเลย สายไฟฟ้าที่จำเลยติดตั้งไว้ดังกล่าวจึงอยู่ในแดนกรรมสิทธิ์เหนือพื้นดินของจำเลยมิใช่ของโจทก์ ที่โจทก์แก้ฎีกาของจำเลยว่า สายไฟฟ้าที่จำเลยติดตั้งไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทดังกล่าวไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานเพียงใดหรือมีการดูแลรักษาสายไฟฟ้าดีเพียงใด แต่อุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าวย่อมต้องเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาและการใช้งาน จึงอาจมีกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันตรายโดยสภาพรั่วออกมาสู่รั้วคอนกรีตพิพาท เมื่อมีผู้สัมผัสหรือยืนอยู่ใกล้รั้วอาจถูกกระแสไฟฟ้าดูดจนได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ การติดตั้งสายไฟฟ้าไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทของจำเลยดังกล่าวจึงกระทบต่อสิทธิของโจทก์นั้น แม้โจทก์จะมีนายจิรายุ อาจารย์สอนด้านกำลังไฟฟ้ามาเบิกความเป็นพยานว่า สายไฟฟ้าที่จำเลยใช้เป็นสายไฟฟ้าประเภททีเอชดับบลิวที่ใช้สำหรับเดินภายในอาคาร หากใช้สายไฟฟ้าดังกล่าวติดตั้งภายนอกอาคารต้องอยู่บนแร็กสูงไม่ต่ำกว่า 250 เซนติเมตร แต่จำเลยติดตั้งสายไฟฟ้าต่ำกว่า 250 เซนติเมตร หากมีการรั่วของกระแสไฟฟ้าออกมาอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ และการติดตั้งสายไฟฟ้าที่มีระยะทางยาวเช่นคดีนี้จะต้องตั้งเสาและลอยขึ้นเหนือพื้นดินโดยไม่สามารถเกาะรั้วได้ก็ตาม แต่พยานโจทก์ปากนายจิรายุก็ไม่ได้ทำการตรวจสอบสายไฟฟ้าที่จำเลยติดตั้งไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทโดยละเอียด โดยพยานคงเพียงแต่ยืนมองสายไฟฟ้าที่จำเลยติดตั้งที่บริเวณริมฟุตบาทภายนอกรั้วบ้านจำเลย และยังกลับเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ท่อเอชดีพีอี สามารถร้อยสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนแกนเดียวทีเอชดับบลิวสามารถเดินลอยต้องยึดด้วยวัสดุฉนวนเดินในช่องเดินในสถานที่แห้งได้ โดยที่พิพาทมีการใช้สายไฟฟ้าชนิดทีเอชดับบลิว พื้นที่หน้าตัดขนาด 16 ตารางมิลลิเมตร จำนวน 2 เส้น ร้อยผ่านท่อเอชดีพีอี เป็นไปตามมาตรฐานและสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยมีอายุการใช้งานของท่อเอชดีพีอีได้ไม่เกิน 10 ปี ตามหนังสือรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม คำเบิกความของนายจิรายุจึงมีลักษณะเป็นการเบิกความกลับไปมาไม่อาจรับฟังเป็นมั่นคงได้ว่าการเดินสายไฟฟ้าของจำเลยในรายพิพาทนี้มิได้เป็นไปตามมาตรฐานและไม่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยดังที่โจทก์กล่าวอ้างมา เมื่อฝ่ายจำเลยมีนายพิสิฏฐ์ วิศวกรไฟฟ้าระดับ 7 แผนกบริการลูกค้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย มาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า จากการไปตรวจการติดตั้งไฟฟ้าที่บ้านจำเลยพบว่ามีส่วนต่ำกว่ามาตรฐาน 2 จุด คือ การติดตั้งสายไฟฟ้าติดรั้วเหล็ก และการติดตั้งสายไฟฟ้าต่อกับแร็กซึ่งมีความสูงไม่ถึง 2.80 เมตร โดยจำเลยติดตั้งห่างจากแร็กประมาณ 2.50 เมตร แต่ในกรณีนี้ไม่ทำอันตรายเนื่องจากไม่สามารถเอื้อมมือถึง และสามารถแก้ไขได้โดยง่าย จำเลยนำสายไฟฟ้าร้อยท่อเอชดีพีอี ซึ่งเป็นท่อที่ทนแรงกดสูง ท่อดังกล่าวเป็นฉนวน ซึ่งจำเลยมีการป้องกันน้ำเข้าท่อได้เป็นอย่างดี หากฝนตกก็ไม่เกิดอันตราย การเดินสายไฟฟ้าโดยร้อยท่อเอชดีพีอี ในระยะทางยาวไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า และความปลอดภัยในการตั้งเสาไฟฟ้ากับการร้อยเสาไฟฟ้าเข้าท่อตามที่จำเลยปฏิบัตินั้นมีความปลอดภัยพอกัน ที่สำคัญจำเลยยังมีหนังสือรับรอง ที่นายพรภวิษย์ ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมประเภทภาคีวิศวกร สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า งานไฟฟ้ากำลัง รับรองว่าเป็นผู้ตรวจระบบเมนไฟฟ้าประธานบ้านจำเลยจากมิเตอร์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ถึงตู้ประธานบ้านจำเลยว่าเป็นไปตามมาตรฐานและสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยมาแสดง ประกอบกับภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยได้ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนที่ยังไม่ได้มาตรฐานตามที่นายพิสิฏฐ์เบิกความไว้ดังกล่าวจนเสร็จเรียบร้อยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตามภาพถ่ายเอกสารท้ายคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยหมายเลข 1 พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าการติดตั้งสายไฟฟ้าของจำเลยโดยยึดสายไฟฟ้าที่ร้อยท่อติดไว้กับแนวรั้วคอนกรีตพิพาทในฝั่งบ้านจำเลยในรายพิพาทนี้ได้ดำเนินการตามมาตรฐานและไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่โจทก์ บริวารของโจทก์ และบุคคลอื่น หรือเป็นการขัดต่อสิทธิของโจทก์จนทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันสมควรแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสายไฟฟ้าออกจากรั้วคอนกรีตพิพาทมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยติดตั้งสายไฟฟ้าบนรั้วคอนกรีตพิพาทของโจทก์ในลักษณะที่เป็นอันตรายและไม่ปลอดภัยแก่โจทก์และบุคคลอื่น ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสายไฟฟ้าออกจากรั้วคอนกรีตพิพาทของโจทก์ จำเลยให้การว่ารั้วคอนกรีตพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยรวมกัน การติดตั้งสายไฟฟ้าบนรั้วคอนกรีตพิพาทไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า รั้วคอนกรีตพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ และจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เมื่อได้ความว่ารั้วคอนกรีตพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยรวมกัน และการติดตั้งสายไฟฟ้าของจำเลยไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยแก้ไขการต่อสายไฟฟ้าจากมิเตอร์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายถึงตู้ประธานบ้านจำเลยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างมาในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างและพิพากษาให้ถูกต้องได้เอง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share