คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่มีข้าวสารติดเรือไปจำนวนเพียง 147 กิโลกรัมเพื่อให้คนเรือและคนโดยสารที่มากับเรือประมาณ 20 คนเศษบริโภคนั้น ไม่เรียกว่าเป็นการขนย้ายตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว

ย่อยาว

ได้ความว่า ข้าวสารของกลางเจ้าพนักงานจับได้ในเรือแสงทองกันดัง ซึ่งจำเลยนี้เป็นจุ้นจู๊ประจำเรือ มีจำนวนเพียง ๑๔๗ กิโลกรัม ซึ่งเป็นข้าวที่จำเลยซื้อติดจำนวนเพีง ๑๔๗ กิโลกรัม ซึ่งเป็นข้าวที่จำเลยซื่อติดเรือมาจากกันตังในเทียวเรือที่ออกจากกันตังมาภูเก็ต สำหรับให้คนเรือและคนโดยสารมากับเรือประมาณ ๒๐ คนเศษบริโภค และมาจับได้ขณะเรือจอดอยู่ที่ภูเก็ต และระหว่างนั้นเป็นเวลาลมมรสุม การเดินทางลำบากและเสียเวลา โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยขนย้ายข้าวสารดังกล่าวไปทางทะเลออกนอกเขตจังหวัดตรัง โดยมิได้รับอนุญาตจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่าเป็นข้าวสารประจำเรือสำหรับคนเรือและคนโดยสารบริโภค ไม่เป็นการขนย้ายและไม่มีเจตนาขนย้าย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเกี่ยวแก่ที่เกิดเหตุ ความผิดจะเกิดในเขตจังหวัดตรังไม่ได้ ศาลจังหวัดตรังไม่มีอำนาจชำระ ให้ยกฟ้อง คืนข้าวสารและเรือยนต์ของกลาง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในข้อที่ว่าขนย้ายโจทก์สืบไม่ได้ความชัดแน่นอน ไม่ต้องวินิจฉัยข้ออื่น ๆ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องในข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในข้อเท็จจริง ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่ได้ความว่ามีการขนย้าย และเห็นว่าเพียงมีข้าวติดเรือไปจำนวนเล็กน้อยสำหรับบริโภคในเรือจะเรียกว่าขนย้ายอันเป็นผิดต่อ พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าวยังไม่ได้ ไม่จำต้องพิจารณาถึงข้ออื่น ๆ
พิพากษายืน

Share