แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 5 บัญญัตินิยามของคำว่า “โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ” ให้กินความถึงแพด้วยเท่านั้น มิได้กำหนดความหมายไว้โดยเฉพาะ หม้อแปลงไฟฟ้าพิพาทติดตั้งยึดติดอยู่บนคานปูนที่วางพาดระหว่างเสาไฟฟ้า เสาไฟฟ้าทั้งสองต้นหล่อด้วยปูนมีฐานติดตรึงถาวรอยู่กับพื้นดินจึงมีลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่ง แม้หม้อแปลงไฟฟ้าติดตั้งอยู่บนคานปูน ไม่ได้ยึดติดกับพื้นดิน และสามารถเคลื่อนย้ายออกไปจากเสาไฟฟ้าได้ แต่โดยสภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ซึ่งต้องใช้ประจำอยู่กับเสาไฟฟ้าเพื่อประโยชน์ในการแปลงค่ากระแสไฟฟ้าจ่ายให้แก่โรงงาน ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ตามมาตรา 6 (1) การที่จำเลยกำหนดค่ารายปีในส่วนของหม้อแปลงไฟฟ้าโดยนำค่าเช่าที่โจทก์ได้รับมาเป็นเกณฑ์จึงเป็นไปตามมาตรา 8 วรรคสอง แล้ว
เครื่องชั่งน้ำหนักของโจทก์เป็นระบบคานชั่งและระบบ LOAD CELL ติดตรึงถาวรลงใต้พื้นดิน มีโครงสร้างรองรับเป็นสิ่งปลูกสร้างโดยสภาพ จึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ตามมาตรา 6 (1) แต่เครื่องชั่งน้ำหนักเป็นเครื่องจักรกลไกที่ไม่ได้ติดตั้งอยู่ภายในอาคารเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่ถูกติดตั้งลงใต้พื้นดินด้านข้างห้องเครื่องชั่ง และมิได้ยึดติดกับตัวห้องเครื่องชั่ง ดังนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบที่สำคัญอันมีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลไก เพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมที่ติดตั้งในโรงเรือนตามมาตรา 13 คำชี้ขาดของจำเลยที่ไม่ลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสาม จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดค่ารายปีและค่าภาษีของจำเลย ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระให้เกินไป 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขใบแจ้งคำชี้ขาดเล่มที่ 1 เลขที่ 1 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2554 โดยกำหนดค่ารายปีสำหรับเครื่องชั่งน้ำหนักรถ 40,000 บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน 5,000 บาท ให้จำเลยคืนเงินส่วนที่โจทก์ชำระเกินไปจำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์ ภายในสามเดือนนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดสามเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดของนายกเทศมนตรีตำบลสีมามงคลในส่วนของหม้อแปลงไฟฟ้าและอุปกรณ์ชอบหรือไม่ เห็นว่า มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ ท่านให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นๆ กับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ…” ซึ่งมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 บัญญัตินิยามของคำว่า “โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ” ให้กินความถึงแพด้วยเท่านั้น มิได้กำหนดความหมายไว้โดยเฉพาะ เมื่อพิจารณาภาพถ่ายหม้อแปลงไฟฟ้า แผ่นที่ 27 ประกอบกับบันทึกข้อความ แผ่นที่ 24 แล้ว จะเห็นได้ว่า หม้อแปลงไฟฟ้าและอุปกรณ์ติดตั้งยึดติดอยู่บนคานปูนที่วางพาดระหว่างเสาไฟฟ้าแรงสูงสองต้น สูงจากพื้นประมาณ 8 เมตร เสาไฟฟ้าทั้งสองต้นหล่อด้วยปูนมีฐานติดตรึงถาวรอยู่กับพื้นดินซึ่งลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่ง แม้หม้อแปลงไฟฟ้าจะติดตั้งอยู่บนคานปูนมิได้ยึดติดกับพื้นดิน และสามารถเคลื่อนย้ายออกไปจากเสาไฟฟ้าได้ แต่โดยสภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ซึ่งต้องใช้เป็นประจำอยู่กับเสาไฟฟ้าเพื่อประโยชน์ในการแปลงค่ากระแสไฟฟ้าจ่ายให้แก่โรงงานของโจทก์ ซึ่งในขณะที่พนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยประเมินภาษี ก็ประเมินค่ารายปีของ หม้อแปลงไฟฟ้าซึ่งย่อมรวมถึงเสาไฟฟ้าที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันด้วยทั้งโจทก์เองก็ได้ให้ผู้เช่าเช่าใช้ประโยชน์จากหม้อแปลงและอุปกรณ์ดังกล่าวในอุตสาหกรรมของผู้เช่าโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าจากทรัพย์สินส่วนนี้ด้วย หม้อแปลงไฟฟ้าจึงเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งและยึดติดอยู่กับเสาไฟฟ้าซึ่งติดตรึงถาวรอยู่กับพื้นดินอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่โจทก์ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ตามมาตรา 6 (1) แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 หม้อแปลงไฟฟ้าจึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ที่พนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยกำหนดค่ารายปีในส่วนของหม้อแปลงไฟฟ้าโดยนำค่าเช่าที่โจทก์ได้รับมาเป็นเกณฑ์จึงเป็นไปตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 แล้ว การประเมินและคำชี้ขาดในส่วนของหม้อแปลงไฟฟ้าจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดของนายกเทศมนตรีตำบลสีมามงคลในส่วนของเครื่องชั่งน้ำหนักชอบหรือไม่ และจำเลยต้องคืนเงินค่าภาษีของโจทก์หรือไม่ ปัญหานี้พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ตามมาตรา 13 บัญญัติว่า “ถ้าเจ้าของโรงเรือนใดติดตั้งส่วนควบที่สำคัญมีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลไก เครื่องกระทำหรือเครื่องกำเนิดสินค้าเพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น โรงสี โรงเลื่อย ฯลฯ ขึ้นในโรงเรือนนั้น ๆ ในการประเมินท่านให้ลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้น” เห็นว่า ตามภาพถ่ายอาคารชั่งน้ำหนักเอกสาร แผ่นที่ 7 ถึง 9 ประกอบกับแปลนแสดงอาคารพร้อมเครื่องจักร แผ่นที่ 3 ถึง 6 แสดงให้เห็นสภาพโครงสร้างของเครื่องชั่งน้ำหนักว่า มีเครื่องชั่งน้ำหนักระบบคานชั่ง และระบบ LOAD CELL ติดตั้งลงไปใต้พื้นดินด้านข้างของห้องเครื่องชั่งทั้งสองด้าน และยังได้ความจากนางสาวจิระพร กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ว่า ใต้คานชั่งน้ำหนักจะมีอุปกรณ์เกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักซึ่งเป็นเครื่องจักรกลและต่อเนื่องไปยังห้องเครื่องชั่ง ส่วนเครื่องจักรกลนั้นอยู่ใต้ดินและอยู่นอกอาคารเครื่องชั่งน้ำหนัก เมื่อมีรถบรรทุกผ่านเครื่องชั่งคอมพิวเตอร์จะทำงานและส่งข้อมูลน้ำหนักรถและวัตถุที่บรรทุกไปยังห้องเครื่องชั่งที่มีระบบบันทึกน้ำหนัก เครื่องชั่งน้ำหนักของโจทก์จึงเป็นเครื่องจักรกลไกที่ไม่ได้ติดตั้งอยู่ภายในอาคารเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่ถูกติดตั้งลงใต้พื้นดินด้านข้างห้องเครื่องชั่ง และมิได้ยึดติดอยู่กับตัวห้องเครื่องชั่ง เครื่องชั่งน้ำหนักจึงไม่ใช่ส่วนควบของโรงเรือนที่เป็นห้องเครื่องชั่ง แต่สภาพของเครื่องชั่งน้ำหนักที่มีระบบคานชั่งและระบบ LOAD CELL ติดตั้งลงใต้พื้นดินและติดตรึงถาวรกับพื้นดินจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นตามมาตรา 6 (1) แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 เครื่องชั่งน้ำหนักของโจทก์จึงไม่เป็นส่วนควบที่สำคัญที่มีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลไก เพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมที่ติดตั้งขึ้นในโรงเรือนตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 การประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ไม่ลดค่ารายปีในทรัพย์สินรายการนี้ลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีจึงชอบแล้ว และจำเลยไม่ต้องคืนเงินภาษีแก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขใบแจ้งคำชี้ขาดในส่วนเครื่องชั่งน้ำหนักรถ และให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ