คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10570/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจดข้อความอันเป็นเท็จโดยยื่นแบบนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุดจำนวน 1 ฉบับ และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นฉบับใหม่จำนวน 1 ฉบับ โดยมีข้อความระบุไว้ว่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้ของจำเลยที่ 1 จำนวน 100,000,000 บาท จำเลยทั้งสองได้เรียกชำระเงินไปจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนครบถ้วนเต็มจำนวน ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองยังมิได้เรียกชำระเงินค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนค้างชำระอยู่อีก 49,500,000 บาท อาจทำให้โจทก์หรือประชาชนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องพบอุปสรรคในการที่จะใช้สิทธิบังคับชำระหนี้หรือบังคับคดีเอาแก่สิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นค้างชำระของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1096 โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 และมาตรา 267
การที่จำเลยทั้งสองยื่นแบบนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นอันแสดงให้ปรากฏว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว อันเป็นความเท็จ ส่งผลให้เห็นในทำนองว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชำระค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นนั้นครบถ้วนแล้วและสิ้นสิทธิในการเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้ค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีก ทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 จะต้องได้รับเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนในส่วนที่ยังมิได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วน จึงเป็นการซ่อนเร้นสิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นที่ยังมิได้ชำระ เพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499 มาตรา 40 (1) ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 350 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 มาตรา 40 และให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพิกถอนการจดแจ้งแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ของจำเลยที่ 1 ประจำปี 2552 และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ของจำเลยที่ 1 ในวันประชุมสามัญประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2553 หรือแบบนำส่งงบการเงินและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่ยื่นต่อนายทะเบียนภายหลังวันที่ 21 กันยายน 2555 ออกจากสารบบทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทของจำเลยที่ 1 และให้ถือว่าแบบนำส่งงบการเงิน ของจำเลยที่ 1 ประจำปี 2551 และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในวันประชุมสามัญประจำปี 2551 ประชุมวันที่ 30 เมษายน 2553 เป็นเอกสารที่จดแจ้งไว้ต่อนายทะเบียนที่ถูกต้องแท้จริง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 350 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 6,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 350 ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 มาตรา 40 (1) การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานย้าย ซ่อน หรือโอนให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์สินของนิติบุคคลเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อให้พิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เรื่องจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาการก่อสร้าง พร้อมเรียกค่าเสียหาย 40,904,619.50 บาท ในระหว่างพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ โจทก์ตรวจสอบพบว่า จำเลยทั้งสองยื่นแบบนำส่งงบการเงินประจำปี 2551 และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ครั้งที่ 1/2553 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า จังหวัดสมุทรปราการ ว่า จำเลยที่ 1 มีทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท มีผู้ถือหุ้น 7 คน ชำระเงินค่าหุ้นแล้ว 50,500,000 บาท ผู้ถือหุ้นยังค้างชำระค่าหุ้นรวม 49,500,000 บาท โจทก์จึงยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อศาลจังหวัดระยอง ขอให้อายัดเงินค่าหุ้นที่มีการค้างชำระจำนวน 49,500,000 บาท ไว้ก่อน ศาลจังหวัดระยองนัดไต่สวน มีการส่งสำเนาคำร้องและแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ทราบ ตามคำแถลงของโจทก์และส่งให้จำเลยที่ 1 แล้ว คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ทราบคำชี้ขาดตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2555 ต่อมางบการเงินประจำปี 2552 และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ระบุว่า ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ครั้งที่ 1/2553 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จและความผิดฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 หรือไม่ ตามฟ้องของโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจดข้อความอันเป็นเท็จโดยยื่นแบบนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 จำนวน 1 ฉบับ และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นฉบับใหม่ จำนวน 1 ฉบับ โดยมีข้อความระบุไว้ว่า หุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้ของจำเลยที่ 1 จำนวน 100,000,000 บาท จำเลยทั้งสองได้เรียกชำระเงินไปจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคน ครบถ้วนเต็มจำนวน 100,000,000 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองยังมิได้เรียกชำระเงินค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนค้างชำระอยู่อีกจำนวน 49,500,000 บาท อาจทำให้โจทก์หรือประชาชนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องพบอุปสรรคในการที่จะใช้สิทธิบังคับชำระหนี้หรือบังคับคดีเอาแก่สิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นค้างชำระของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และความผิดฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตา 137 และมาตรา 267 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา 40 (1) หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นแบบนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นอันแสดงให้ปรากฏว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว อันเป็นความเท็จ เพราะผู้ถือหุ้นยังมิได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วน ส่งผลให้เห็นในทำนองว่า จำเลยที่ 1 ได้รับชำระค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นนั้นครบถ้วนแล้ว และสิ้นสิทธิในการเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้ค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีก ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 จะต้องได้รับเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนในส่วนที่ยังมิได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วน จึงเป็นการซ่อนเร้นสิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นที่ยังมิได้ชำระครบถ้วน เพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา 40 (1) ด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share