คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1589/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อพังเสียหายจากการถูกคลื่นสึนามิซัดเข้าปะทะกับต้นไม้และพลิกตะแคงอยู่กับเศษวัสดุต่าง ๆ ที่แตกหักเสียหายเป็นเหตุให้รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายใช้การไม่ได้และสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง ตามสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 5 วรรคสอง กำหนดว่าหากไม่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่าเสียหายเพียงเท่าที่เจ้าของได้ใช้จ่ายไปตามความจำเป็นและมีเหตุอันสมควรและตามข้อ 11 กำหนดว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืน แม้โจทก์ฟ้องเป็นกรณีผิดสัญญาเช่าซื้อโดยทั่วไปก็ตาม แต่ก็พอถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดกรณีสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดจากเหตุที่มิได้เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อด้วย เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ดังเดิม แต่รถยนต์หาได้สูญสิ้นสภาพไปทั้งหมดยังคงมีตัวทรัพย์อยู่ โจทก์ในฐานะเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้ แม้รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายจากธรณีพิบัติภัยอันเป็นเหตุสุดวิสัย ผู้เช่าซื้อไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดในการส่งมอบรถยนต์คืนตามสภาพที่ใช้การได้ดี แต่ต้องส่งมอบคืนตามสภาพที่เป็นจริงหลังเกิดธรณีพิบัติภัย จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในการคืนทรัพย์แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคาแทน โดยกำหนดให้ในลักษณะของค่าซากรถเป็นเงิน 20,000 บาท
ตามคำฟ้องของโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายใด ๆ อันเนื่องมาจากความรับผิดตามสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 5 วรรคสอง แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการทวงถาม การติดตามทรัพย์ ค่าทนายความหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด จึงไม่กำหนดให้ คงมีเพียงค่าเสียหายจากการที่รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายโดยสิ้นเชิงจากเหตุธรณีพิบัติภัย แม้โจทก์ไม่อาจเรียกค่าเสียหายตามราคารถยนต์ที่โจทก์ออกเงินลงทุนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาว่า หากรถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้เสียหายจากธรณีพิบัติภัยและ ย. ชำระค่าเช่าซื้อครบ 48 งวด โจทก์จะได้รับผลประโยชน์เป็นเงิน 44,979.37 บาท แต่คดีนี้โจทก์ได้รับผลประโยชน์จากค่าเช่าซื้อที่ ย. ผ่อนชำระแล้ว 8 งวด รถยนต์ก็เสียหายโดยสิ้นเชิงจนมีสภาพเป็นเพียงซากรถ จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ 37,400 บาท เมื่อค่าซากรถและค่าเสียหายที่กำหนดให้เป็นจำนวนที่พอสมควรแล้ว จึงไม่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยของค่าเสียหายอีก ส่วนค่าใช้ทรัพย์และค่าเช่าซื้อค้างชำระที่โจทก์ขอมานั้น ย. ผู้เช่าซื้อยังมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดเฉพาะการคืนทรัพย์แก่โจทก์หรือใช้ราคาแทนและชดใช้ค่าเสียหายดังที่วินิจฉัยแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 474,573 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หรือใช้ราคาแทนจนครบ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า นางสาวยุภาทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า ไปจากโจทก์ ในราคา 463,000 บาท โดยตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน รวม 48 งวด เริ่มงวดแรกวันที่ 1 พฤษภาคม 2547 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน มีนายชวลิต ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม นางสาวยุภาผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ถึงงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2547 ต่อมาเกิดธรณีพิบัติภัยคลื่นสึนามิพัดถล่มบ้านน้ำเค็ม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นเหตุให้นางสาวยุภาผู้เช่าซื้อกับนายชวลิตผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายและรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหาย จำเลยเป็นมารดาของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทโดยธรรม ทั้งนี้โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 9 ประจำวันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นมาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สัญญาเช่าซื้อระงับไปด้วยเหตุที่รถยนต์เสียหายจากธรณีพิบัติภัยหรือจากการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของโจทก์ โดยโจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ดูภาพถ่ายรถยนต์ท้ายรายงานกระบวนพิจารณา แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ เป็นเหตุให้สัญญาเช่าซื้อระงับไป แต่สภาพรถยนต์ตามภาพยังสามารถซ่อมแซมได้ จำเลยไม่ได้นำภาพถ่ายรถยนต์ในเวลาปัจจุบันมาแสดงและไม่ส่งมอบรถยนต์คืนเพื่อให้โจทก์นำไปซ่อม สัญญาเช่าซื้อจึงไม่ได้ระงับไปด้วยเหตุดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย แต่สัญญาเลิกกันด้วยเหตุตามฟ้องนั้น จำเลยให้การต่อสู้ว่า นางสาวยุภาไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ แต่สัญญาเช่าซื้อระงับไปเพราะรถยนต์เสียหายไร้ประโยชน์จากธรณีพิบัติภัย ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ ครั้นในนัดพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันว่า ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายด้วยเหตุธรณีพิบัติภัยจริงและจำเลยส่งภาพถ่ายรถยนต์ที่ถูกคลื่นสึนามิจำนวน 3 ภาพ ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้แถลงร่วมกันอีกว่า รถยนต์ถูกคลื่นสึนามิซัดถล่มได้รับความเสียหายและโจทก์ยังไม่ได้รับรถยนต์คืน เห็นว่า ที่จำเลยส่งภาพถ่ายแสดงสภาพความเสียหายของรถยนต์จากเหตุธรณีพิบัติภัยต่อศาลนั้น โจทก์ไม่ได้โต้แย้งภาพถ่ายเป็นอย่างอื่น ทั้งยังให้จำเลยไปเจรจาขอลดค่าเสียหายกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายจากเหตุธรณีพิบัติภัย เมื่อได้ความว่า นางสาวยุภาถึงแก่ความตายจากเหตุธรณีพิบัติภัยและรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหายดังสภาพที่ปรากฏในภาพถ่ายท้ายรายงานกระบวนพิจารณา กรณีจึงหาได้เป็นไปตามข้อกล่าวอ้างที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ซึ่งเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อโดยทั่วไป แต่เป็นเรื่องรถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายโดยไม่ได้เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ เพราะเกิดจากเหตุสุดวิสัย โดยที่สัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 5 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่รถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ดีดังเดิม ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า รถยนต์เสียหายถึงขนาดที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ดีดังเดิมหรือไม่ ในข้อนี้เมื่อพิจารณาภาพถ่ายท้ายรายงานกระบวนพิจารณาปรากฏชัดว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อพังเสียหายจากการถูกคลื่นสึนามิซัดเข้าปะทะกับต้นไม้และพลิกตะแคงอยู่กับเศษวัสดุต่าง ๆ ที่แตกหักเสียหาย ที่โจทก์ฎีกาว่า รถยนต์ยังอยู่ในสภาพที่ซ่อมแซมได้นั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุผล เพราะตามสภาพความเสียหายที่ปรากฏ ไม่น่าจะทำการซ่อมแซมรถยนต์ให้คืนสภาพดีดังเดิมได้ โจทก์ทราบอยู่แล้วว่า ผู้เช่าซื้อรายนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ทั้งกรณีเป็นเรื่องร้ายแรงที่ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันต่างถึงแก่ความตาย รถยนต์ที่เช่าซื้อก็เสียหายจนใช้การไม่ได้ เชื่อว่าฝ่ายจำเลยต้องแจ้งเรื่องแก่โจทก์โดยไม่เนิ่นช้า โจทก์จึงน่าจะทราบความเสียหายของรถยนต์ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2548 แล้ว แต่โจทก์มาฟ้องคดีนี้หลังเกิดเหตุเกือบ 3 ปี และยังกล่าวอ้างว่า ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ จึงไม่ตรงตามข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยไปตามรูปคดีโดยพิจารณาตามภาพถ่ายรถยนต์และข้อเท็จจริงในเรื่องคลื่นสึนามิซัดน้ำทะเลเข้าทำความเสียหายแก่รถยนต์ ทำให้รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้และสัญญาเช่าซื้อระงับไปนั้น ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ในกรณีที่สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดเช่นนี้ สัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 5 วรรคสอง กำหนดว่า หากไม่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย หรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถ ค่าทนายความหรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่เจ้าของได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นและมีเหตุอันสมควร และตามข้อ 11 กำหนดว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่จะต้องส่งมอบรถยนต์คืน แม้โจทก์ฟ้องเป็นกรณีผิดสัญญาเช่าซื้อโดยทั่วไปก็ตาม แต่พอถือได้ว่า โจทก์ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดกรณีสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดจากเหตุที่มิได้เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อด้วย เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ดังเดิม แต่รถยนต์หาได้สูญสิ้นสภาพไปทั้งหมด จึงยังคงมีตัวทรัพย์อยู่ โจทก์ในฐานะเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้ โจทก์นำสืบในข้อนี้ว่า จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์คืน ส่วนจำเลยเพียงแต่อ้างในคำให้การและแถลงต่อศาลว่า บริษัทผู้รับประกันภัยนำรถยนต์ไปไว้ที่บริษัทเท่านั้น โดยจำเลยไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่าจำเลยคืนทรัพย์ให้แก่โจทก์ แม้รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายจากธรณีพิบัติภัยอันเป็นเหตุสุดวิสัย ผู้เช่าซื้อไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดในการส่งมอบรถยนต์คืนตามสภาพที่ใช้การได้ดี แต่ต้องส่งมอบคืนตามสภาพที่เป็นจริงหลังเกิดธรณีพิบัติภัย จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในการคืนทรัพย์ให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคาแทน โดยกำหนดให้ในลักษณะของค่าซากรถเป็นเงิน 20,000 บาท ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ขอเรียกค่าเสียหายใด ๆ อันเนื่องมาจากความรับผิดตามสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 วรรคสองดังกล่าว แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการทวงถาม การติดตามทรัพย์ ค่าทนายความหรือค่าใช้จ่ายอื่นใดหรือไม่ จึงไม่กำหนดให้ คงมีเพียงค่าเสียหายจากการที่รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายโดยสิ้นเชิงจากเหตุธรณีพิบัติภัย แม้โจทก์ไม่อาจเรียกค่าเสียหายตามราคารถยนต์ที่โจทก์ออกเงินลงทุนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาว่า หากรถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้เสียหายจากธรณีพิบัติภัยและนางสาวยุภาชำระค่าเช่าซื้อครบ 48 งวด โจทก์จะได้รับผลประโยชน์เป็นเงิน 44,979.37 บาท แต่คดีนี้โจทก์ได้รับผลประโยชน์จากค่าเช่าซื้อที่นางสาวยุภาผ่อนชำระแล้ว 8 งวด รถยนต์ก็เสียหายโดยสิ้นเชิงจนมีสภาพเป็นเพียงซากรถ จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ 37,400 บาท เมื่อค่าซากรถและค่าเสียหายที่กำหนดให้เป็นจำนวนที่พอสมควรแล้ว จึงไม่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยของค่าเสียหายอีก ส่วนค่าใช้ทรัพย์และค่าเช่าซื้อค้างชำระที่โจทก์ขอมานั้น โจทก์ไม่อาจเรียกร้องได้ เพราะขณะรถยนต์เสียหายโดยสิ้นเชิงจากเหตุธรณีพิบัติภัยนั้น นางสาวยุภาผู้เช่าซื้อยังมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดเฉพาะการคืนทรัพย์แก่โจทก์หรือใช้ราคาแทนและชดใช้ค่าเสียหายดังที่วินิจฉัยแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางสาวยุภาผู้เช่าซื้อและนายชวลิตผู้ค้ำประกัน ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพหลังเกิดเหตุธรณีพิบัติภัยคืนแก่โจทก์ หากไม่ส่งมอบให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 20,000 บาท กับชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 37,400 บาท ทั้งนี้จำเลยไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนางสาวยุภาและนายชวลิตที่ตกทอดแก่จำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share