คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10258/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เพียงต้องการจำนองที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทจึงลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความให้ อ. นำไปจำนอง จำเลยที่ 1 ไปกรอกข้อความเป็นขาย แล้วดำเนินการจดทะเบียนเป็นว่าโจทก์ขายแก่จำเลยที่ 1 โดยที่โจทก์และ อ. ไม่ได้ไปที่สำนักงานที่ดินในวันจดทะเบียนซื้อขาย ไม่รู้เห็นยินยอมให้ขายและไม่ได้รับเงินค่าขายแต่อย่างใด หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้เกิดขึ้น จำเลยที่ 1 ต้องคืนที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแก่โจทก์ และศาลต้องพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมนี้เสีย จริงอยู่แม้การที่โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 รู้เห็นเกี่ยวกับการปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว และเป็นผู้ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้รับโอนโดยสุจริต ส่วนจำเลยที่ 2 มีเจตนาซื้อขายทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งการซื้อขายคือที่ดินและบ้านที่ ธ. กับ ก. และจำเลยที่ 1 ชี้ให้ดู อันเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งการซื้อขาย ไม่ได้มีเจตนาซื้อที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 2 เข้าทำนิติกรรมซื้อที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทเนื่องจากถูก ธ. กับ ก. และจำเลยที่ 1 หลอกลวงจึงเป็นไปโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันเป็นความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 จำเลยที่ 2 ต้องคืนที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแก่โจทก์และศาลต้องพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมนี้เสียเช่นกัน ในกรณีเช่นนี้ ไม่ว่าจำเลยที่ 2 สุจริตหรือไม่ จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีทางได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท ส่วนข้อที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้เสียค่าตอบแทนอันอาจได้รับความเสียหายเพียงใดหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จะไปว่ากล่าวเอาจาก ธ. ก. และจำเลยที่ 1 ไม่เป็นเหตุผลให้จำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17874 ตำบลหนองผักนาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 75 หมู่ที่ 2 บนที่ดินดังกล่าว ฉบับลงวันที่ 16 กันยายน 2552 ที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อตนเองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายแก่จำเลยที่ 2 ในวันเดียวกัน โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เพื่อกลับคืนสู่ฐานะเดิม หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากต้องชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระ หากโจทก์จำต้องออกเงินแทนจำเลยทั้งสองไปก่อน โจทก์จะเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระคืนโจทก์ต่อไป ให้ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นับตั้งแต่ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนโจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองต้องคืนที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลให้รับฟังและมีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ โจทก์เป็นหญิงสูงอายุ เป็นชาวชนบท ไม่ปรากฏว่ามีที่ดินหรือบ้านอื่นใดอยู่อาศัยนอกจากที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท ตามปกติวิสัยของโจทก์ย่อมจะไม่ขายที่ดินและบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัย ในวันทำสัญญาซื้อขาย ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า นางสาวอาริยาไปด้วยนั้นก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ และไม่ประกอบด้วยเหตุผลเช่น ที่อ้างว่านางสาวอาริยาไม่ได้ไปชี้ที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทให้ผู้ซื้อดูก่อนซื้อ ไม่ได้ลงชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจ ไม่ได้รอรับเงินสดจำนวนมากถึง 400,000 บาท เพราะตามปกติวิสัยของผู้ซื้อที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทย่อมจะต้องให้ผู้เป็นเจ้าของหรือรับมอบอำนาจจากเจ้าของชี้ที่ดินและบ้านที่จะซื้อให้ดูก่อน และตามวิสัยของจำเลยที่ 1 หากนางสาวอาริยาอยู่ด้วยก็ย่อมจะต้องให้นางสาวอาริยาลงชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจ แต่หนังสือมอบอำนาจมีแต่น้องสาวจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้มาที่สำนักงานที่ดินลงชื่อเป็นพยาน กับตามวิสัยของผู้ขายหรือผู้รับมอบอำนาจจากผู้ขายเช่นนางสาวอาริยาย่อมต้องการเงินราคาค่าขายย่อมจะรอรับเงินด้วยตนเอง มิใช่ปล่อยให้นายธนากรรับเงินสดแทนดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความ ส่วนที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่านางจิลดาโทรศัพท์ไปยังโจทก์และแก้ฎีกาว่านางจิลดาเบิกความไว้ในคดีอาญาว่าโจทก์ตกลงขายนั้นก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า โจทก์เพียงต้องการจำนองที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทจึงลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความให้นางสาวอาริยานำไปจำนองจำเลยที่ 1 ไปกรอกข้อความเป็นขาย แล้วดำเนินการจดทะเบียนเป็นว่าโจทก์ขายแก่จำเลยที่ 1 โดยที่โจทก์และนางสาวอาริยาไม่ได้ไปที่สำนักงานที่ดินในวันจดทะเบียนซื้อขาย ไม่รู้เห็นยินยอมให้ขายและไม่ได้รับเงินค่าขายแต่อย่างใด หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้เกิดขึ้น จำเลยที่ 1 ต้องคืนที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแก่โจทก์ และศาลต้องพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมนี้เสีย จริงอยู่แม้การที่โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 รู้เห็นเกี่ยวกับการปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว และเป็นผู้ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้รับโอนโดยสุจริต คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำแก้ฎีกา ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ สำหรับนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขายกับจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อ ต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยที่ 2 เจตนาซื้อที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทหรือไม่ โดยตามคำให้การของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อทรัพย์พิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งหมายความว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 1 แต่ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 ในคดีแพ่งนี้มิได้เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ขอให้ถือเอาคำเบิกความของนายสุภักดี ทนายจำเลยที่ 2 คำเบิกความของจำเลยที่ 2 และคำเบิกความของนายกริชชัย ที่ได้เบิกความไว้ในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองดังกล่าว ตามคำเบิกความ เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งนี้ ซึ่งตามคำเบิกความดังกล่าวเบิกความไว้รวมความว่า ในวันทำนิติกรรมซื้อขาย ก่อนไปทำนิติกรรมซื้อขายที่สำนักงานที่ดิน นายธนากรกับนายกานต์พาจำเลยที่ 2 กับนายกริชชัยไปชี้ให้ดูที่ดินและบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดิน เป็นบ้านสองชั้นสีชมพูสภาพใหม่ แจ้งว่าเป็นที่ดินและบ้านที่จะทำนิติกรรมซื้อขาย ที่ดินและบ้านที่ชี้ให้ดูนั้นไม่ใช่ที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแต่อย่างใด ทั้งไม่ได้อยู่ใกล้กัน หลังจากทำนิติกรรมซื้อขายเสร็จแล้วรู้ตัวว่าถูกนายธนากรกับนายกานต์หลอกลวง จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานร่วมกันฉ้อโกง จนพนักงานอัยการคดีศาลแขวงสุพรรณบุรีฟ้องนายธนากรกับนายกานต์และจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฉ้อโกงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ด้วย เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า อย่างน้อยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาซื้อขายทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งการซื้อขายคือที่ดินและบ้านที่นายธนากรกับนายกานต์และจำเลยที่ 1 ชี้ให้ดู อันเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งการซื้อขาย ไม่ได้มีเจตนาซื้อที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 2 เข้าทำนิติกรรมซื้อที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทเนื่องจากถูกนายธนากรกับนายกานต์และจำเลยที่ 1 หลอกลวงจึงเป็นไปโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันเป็นความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 จำเลยที่ 2 ต้องคืนที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทแก่โจทก์และศาลต้องพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมนี้เสียเช่นกัน ในกรณีเช่นนี้ ไม่ว่าจำเลยที่ 2 สุจริตหรือไม่ จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีทางได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่า จำเลยที่ 2 สุจริตและเสียค่าตอบแทนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนข้อที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้เสียค่าตอบแทนอันอาจได้รับความเสียหายเพียงใดหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จะไปว่ากล่าวเอาจากนายธนากร นายกานต์และจำเลยที่ 1 ไม่เป็นเหตุผลให้จำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทดังวินิจฉัยข้างต้น ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ปลอมหนังสือมอบอำนาจแล้วทำนิติกรรมซื้อขายและมีการจดทะเบียนขายไปถึงสองทอด จนโจทก์ต้องฟ้องทั้งเป็นคดีนี้และคดีอาญา ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างน้อยตามที่โจทก์นำสืบ แต่ค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้องที่โจทก์เรียกร้องมา หากไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดอาจทำให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายเกินกว่าราคาที่ดิน สมควรกำหนดค่าเสียหายให้ควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 โดยกำหนดให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์รวม 200,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงดังวินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 17874 ตำบลหนองผักนาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมบ้านพิพาทเลขที่ 75 หมู่ที่ 2 ตำบลหนองผักนาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งปลูกบนที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 16 กันยายน 2552 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และระหว่างจำเลยทั้งสอง ตามสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดิน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทแก่โจทก์พร้อมส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ดังกล่าวแก่โจทก์โดยปลอดภาระผูกพันใด ๆ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพิพาทอีกต่อไป หากมีค่าใช้จ่ายในการดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออก ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 200,000 บาท คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 50,000 บาท

Share