แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ ช. เป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยทั้งสอง และคำให้การของ ช. จะเป็นคำซัดทอดก็ตาม แต่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 มิได้ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานซัดทอด เพียงแต่ว่าในการรับฟังพยานดังกล่าวศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่มีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน
บันทึกถ้อยคำของ อ. ในชั้นสืบสวนสอบสวน แม้เป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่กรณีมีเหตุจำเป็น เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถนำ อ. มาเบิกความได้และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) ศาลจึงนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 4, 57, 97, 118 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 (1) วรรคหนึ่ง (ที่ถูก มาตรา 57 (1) วรรคหนึ่งและวรรคสอง), 118 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งจำเลยทั้งสองมีกำหนด 10 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า แม้นายไชยาจะเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยทั้งสอง และคำให้การของนายไชยาจะเป็นคำซัดทอดก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 มิได้ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานซัดทอด เพียงแต่ว่าในการรับฟังพยานดังกล่าวศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่มีเหตุผลอันหนักแน่นมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ซึ่งในคดีนี้ได้ความจากจำเลยที่ 1 ว่า นายไชยาเป็นคนในหมู่บ้านของบิดามารดาจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ร่วมทำธุรกิจอยู่อีกทั้งเป็นทีมงานช่วยหาเสียงให้จำเลยที่ 1 ขณะที่นายไชยาถูกจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบกระดาษรายชื่อบุคคลในหมู่บ้านเขียนโดยลายมือนายไชยา ซึ่งรายชื่อดังกล่าวเป็นบุคคลเป้าหมายที่จะนำเงินไปแจก เจ้าพนักงานตำรวจได้สอบปากคำนายไชยาไว้ทันทีที่นายไชยาให้การรับสารภาพ นอกจากนี้นายไชยาได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความในชั้นพิจารณาของนายไชยา คดีนี้แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวนายอภิชลมาเบิกความ แต่โจทก์ก็ได้ส่งอ้างบันทึกถ้อยคำของนายอภิชลที่ให้ไว้ต่อนายวิเชียร อนุกรรมการการสืบสวนสอบสวน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุดรธานี ซึ่งยืนยันว่าได้รับเงินจากนายไชยาจริง บันทึกถ้อยคำดังกล่าวแม้เป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่กรณีมีเหตุจำเป็น เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถนำนายอภิชลมาเบิกความได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) ศาลจึงนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่า ไม่เคยมอบเงินให้นายไชยาเพื่อไปซื้อเสียงผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้เลือกจำเลยที่ 1 นั้นแม้จำเลยที่ 1 จะมิใช่เป็นผู้มอบเงินให้แก่นายไชยาโดยตรง แต่นายไชยาได้รับมอบเงินจากจำเลยที่ 2 ณ ที่ศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งในหมู่บ้านของจำเลยที่ 1 จึงมีมูลเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้รู้ถึงการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น