คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของห้องชุดพิพาทและจำเลยเช่าพื้นที่ห้องชุดดังกล่าวบางส่วนจากโจทก์ ต่อมาจำเลยผิดสัญญาเช่า ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย เป็นการฟ้องอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าและในฐานะเจ้าของห้องชุดพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 538 แม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้อง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้อง และมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายจากการที่จำเลยยังคงอาศัยในห้องชุดพิพาทได้ ไม่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดออกไปจากห้องชุดเลขที่ 11/17 ชั้นที่ 1 อาคารเลขที่ 9 ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 14/2536 ตำบลบางพัง (สีกัน), บ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 9104 และ 9108 ตำบลบางพัง (สีกัน), บ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และส่งมอบห้องชุดดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเช่าค้างชำระรวมเป็นเงิน 56,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องชุด พร้อมทั้งส่งมอบห้องชุดคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องชุดเลขที่ 11/17 ชั้นที่ 1 อาคารชุดที่ 9 ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 14/2536 ตำบลบางพัง (สีกัน), บ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 20 มิถุนายน 2551) จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากห้องพิพาท พร้อมส่งมอบห้องพิพาทในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้ฟ้องและนำสืบเรื่องการติดตามเอาทรัพย์คืน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในห้องชุดพิพาทต่อไป และได้บอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายออกไปแล้วจำเลยเพิกเฉย จึงเป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดง โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ทั้งฉบับ โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นเจ้าของห้องชุดพิพาท เลขที่ 11/17 ชั้นที่ 1 อาคารเลขที่ 9 ชื่ออาคารชุดป๊อปปูล่าคอนโดมิเนียม ครูเมืองทอง ตำบลบางพัง (สีกัน), บ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และจำเลยเช่าพื้นที่ห้องชุดดังกล่าวบางส่วนจากโจทก์ ต่อมาผิดสัญญาเช่า โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องชุดพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย เห็นได้ว่า นอกจากโจทก์จะอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ยังอ้างสิทธิในฐานะเจ้าของห้องชุดพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 อีกด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องชุดพิพาท จำเลยอยู่อาศัยในห้องชุดพิพาทโดยไม่มีสัญญาเช่าแต่อยู่โดยอาศัยสิทธิจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในห้องชุดพิพาทต่อไป จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องชุดพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย กรณีเป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 538 แม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้อง และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายจากการที่จำเลยยังคงอาศัยในห้องชุดพิพาทโดยโจทก์มิได้ใช้ประโยชน์ห้องชุดพิพาทตามที่เห็นสมควร กรณีจึงไม่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต่อมานั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าไม่เกินสองแสนบาท และฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จำนวน 56,000 บาท และมีคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคต ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ 1,120 บาท และค่าขึ้นศาลในอนาคตอีก 100 บาท รวม 1,220 บาท ส่วนในชั้นฎีกาเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และค่าเสียหายในอนาคต ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา 200 บาท และค่าขึ้นศาลในอนาคตอีก 100 บาท รวม 300 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มา 3,120 บาท เกินไป 1,900 บาท และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกามา 533 บาท เกินไป 233 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์และจำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 1,900 บาท แก่โจทก์ และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 233 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share