แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทอ้างว่าเป็นทางสาธารณะ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของจำเลยไม่มีทางสาธารณะตัดผ่าน จึงมีประเด็นที่โต้เถียงว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นของจำเลย ผลประโยชน์ที่โจทก์หรือจำเลยจะได้รับย่อมเป็นการปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีราคา 75,354 บาท ดังนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกากล่าวอ้างโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง สิ่งกีดกั้น และทรัพย์สินออกจากทางสาธารณะในที่ดินโฉนดเลขที่ 39283 ตำบลศรีจุฬา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก และส่งมอบทางสาธารณะคืนโจทก์ ให้จำเลยดำเนินการรังวัดเพิกถอนโฉนดที่ดินในส่วนที่รุกล้ำทางสาธารณะ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า องค์การบริหารส่วนตำบลศรีจุฬา ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และสิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์อื่นในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลศรีจุฬา ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นทางสาธารณะกับให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 39283 ตำบลศรีจุฬา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ที่จำเลยและพันตรีเกษม สามีจำเลยนำรังวัดทับทางสาธารณะดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 39283 เป็นของจำเลยและพันตรีเกษมทั้งแปลง ไม่มีทางสาธารณะตัดผ่าน
มีประเด็นที่โต้เถียงกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นของจำเลย หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ย่อมมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันตามกฎหมาย แต่ถ้าจำเลยชนะคดี ย่อมมีผลให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ประโยชน์ที่โจทก์หรือจำเลยจะได้รับย่อมเป็นการปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และปรากฏตามคำแถลงของโจทก์ เรื่องทุนทรัพย์ที่พิพาทและชำระค่าขึ้นศาลว่า ที่ดินพิพาทมีราคา 75,354 บาท ดังนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกากล่าวอ้างโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ