คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10007/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายที่ 1 ยอมให้จำเลยกระทำชำเราเพราะหลงเชื่อในอุบายของจำเลยที่ทำนายว่า ผู้เสียหายที่ 1 ดวงชะตาไม่ดี จะต้องทำพิธีกรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์เพื่อที่บิดาผู้เสียหายทั้งสองที่เลิกรากับมารดาผู้เสียหายทั้งสองจะส่งเงินให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 แสดงว่าผู้เสียหายที่ 1 เยาว์วัยอ่อนต่อโลก มีความโง่เขลาเบาปัญญาหลงเชื่ออย่างงมงายว่าจำเลยสามารถทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตาจนส่งเสริมให้บิดาส่งเงินมาให้ได้ ดังนั้น การที่ผู้เสียหายที่ 1 ยอมให้จำเลยกระทำชำเราหลายครั้งมิได้เกิดจากความสมัครใจและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การที่จำเลยเลิกเสื้อของผู้เสียหายที่ 1 ขึ้น ใช้ปากกาเขียนที่หน้าอกที่ตัว และใช้น้ำมันทาตัวผู้เสียหายที่ 1 ถอดกางเกงของผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 279, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 279 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา 5 กระทง จำคุกกระทงละ 6 ปี รวมจำคุก 30 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 33 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังว่า ขณะเกิดเหตุ นางสาว ธ. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 16 ปีเศษ เด็กหญิง ว. ผู้เสียหายที่ 2 อายุ 12 ปีเศษ โดยผู้เสียหายทั้งสองเป็นบุตรของนาง ว. กับนาย พ. ซึ่งบิดามารดาของผู้เสียหายทั้งสองหย่ากันแล้ว สถานที่เกิดเหตุเป็นบ้านของนางสาว ป. ที่จำเลยอาศัยประกอบพิธีกรรมอาบน้ำมนต์และสะเดาะเคราะห์ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง นาง ว. พาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไปหาจำเลยที่เกิดเหตุเพื่ออาบน้ำมนต์และทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สำหรับความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย ยุติไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า พยานโจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ให้จำยอมต่อจำเลยเพื่อทำพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาให้ เพื่อจำเลยจะใช้โอกาสดังกล่าวกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 สอดใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยบอกห้ามไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ร้อง เมื่อกระทำชำเราเสร็จยังบอกห้ามมิให้ผู้เสียหายที่ 1 นำเรื่องไปบอกใครและต้องมาให้จำเลยกระทำชำเราอีก หากไม่มาจะทำให้พิธีกรรมที่จำเลยทำไม่ได้ผล อันเป็นการข่มขู่ผู้เสียหายที่ 1 ให้บังเกิดความกลัว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในภาวะจำยอมที่ไม่สามารถขัดขืนได้และถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราอีกหลายครั้งตามฟ้องนั้น เห็นว่า ได้ความจากพยานโจทก์ปากผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความว่า ก่อนวันเกิดเหตุมารดาผู้เสียหายทั้งสองพาผู้เสียหายที่ 1 ไปหาจำเลยที่กระท่อมของนางสาว ป. เพื่อปรึกษาเรื่องที่บิดาผู้เสียหายทั้งสองเลิกร้างกับมารดาแล้ว ไม่ส่งเงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองใช้สอย จำเลยตรวจดูลายมือและดวงให้ผู้เสียหายที่ 1 แล้ว บอกว่าผู้เสียหายที่ 1 ดวงขาดจะต้องทำพิธีอาบน้ำมนต์และพิธีเข้ากรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อมามารดาผู้เสียหายทั้งสองจึงพาผู้เสียหายที่ 1 ไม่พบจำเลยเพื่อทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ขณะประกอบพิธีจำเลยให้มารดาผู้เสียหายทั้งสองรออยู่ที่เพิงนอกกระท่อม ส่วนจำเลยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ตามลำพังในห้องบนกระท่อม จำเลยให้ผู้เสียหายที่ 1 สวดมนต์ตามจำเลยประมาณ 30 นาที แล้วให้ผู้เสียหายที่ 1 นอนหงายบนพื้นกระท่อม เลิกเสื้อของผู้เสียหายที่ 1 ขึ้น ใช้ปากกาเขียนที่หน้าอก ที่ตัว และใช้น้ำมันทาตัวผู้เสียหายที่ 1 จำเลยบอกว่าพิธีกรรมจะได้ผลต้องเอาอวัยวะเพศของจำเลยจ่อที่อวัยวะเพศผู้เสียหายที่ 1 จำเลยถอดกางเกงของจำเลยและของผู้เสียหายที่ 1 ออก จากนั้นจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ชักเข้าชักออก ระหว่างนั้นจำเลยสวดมนต์และเป่าตามร่างกายผู้เสียหายที่ 1 จำเลยกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ ก่อนกลับจำเลยบอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าจะต้องมาอีกเรื่อย ๆ และสั่งไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 บอกใคร หลังจากนั้นมารดาผู้เสียหายทั้งสองพาผู้เสียหายที่ 1 ไปพบจำเลยอีกหลายครั้ง ทุกครั้งจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เช่นเดียวกับครั้งแรก จากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 น่าเชื่อว่า ผู้เสียหายที่ 1 ยอมให้จำเลยกระทำชำเราเนื่องจากหลงเชื่อในอุบายของจำเลยที่ทำนายว่า ผู้เสียหายที่ 1 ดวงชะตาไม่ดีจะต้องทำพิธีกรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์เพื่อที่บิดาผู้เสียหายทั้งสองที่เลิกรากับมารดาของผู้เสียหายทั้งสองจะส่งเงินให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 แสดงว่า ผู้เสียหายที่ 1 เยาว์วัยอ่อนต่อโลกมีความโง่เขลาเบาปัญญาหลงเชื่ออย่างงมงายว่าจำเลยสามารถทำพิธีกรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตาจนส่งเสริมให้บิดาส่งเงินมาให้ได้ ดังนั้น การที่ผู้เสียหายที่ 1 ยอมให้จำเลยกระทำชำเราหลายครั้งมิได้เกิดจากความสมัครใจและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การที่จำเลยเลิกเสื้อของผู้เสียหายที่ 1 ขึ้น ใช้ปากกาเขียนที่หน้าอกที่ตัวและใช้น้ำมันทาตัวผู้เสียหายที่ 1 ถอดกางเกงของผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ โดยจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องจำเลยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share