คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11984/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการกระทำที่มีลักษณะรวมถึงการครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้ด้วยเพื่อให้การนำเข้านั้นสำเร็จจึงถือได้ว่าการครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งเป็นความผิดในตัวเองด้วยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ซึ่งโจทก์มีคำขอตามมาตรา 66 มาท้ายฟ้องแล้วด้วยกรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหก ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่พิจารณาได้ความได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดโทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบเมทแอมเฟตามีน รองเท้าแตะ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65 วรรคสอง, 66, 102 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานนำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน รองเท้าแตะ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 ของกลางอื่นนอกนั้นให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกเอกรินทร์ สิบตำรวจโทมนตรี และดาบตำรวจสุขุม ประจักษ์พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความและสร้างพยานหลักฐานเพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องได้รับโทษ พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องต้องกัน ไม่มีข้อพิรุธสงสัย โจทก์จึงมีทั้งพยานบุคคลและเมทแอมเฟตามีนของกลางอันเป็นวัตถุพยานที่ยึดได้จากรองเท้าที่จำเลยสวมใส่อยู่ ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ในทำนองว่าถูกพยานโจทก์กลั่นแกล้งปรักปรำให้ต้องได้รับโทษ ทั้งการให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในครั้งแรก ผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนก็นำเอกสารบันทึกการจับกุม และบันทึกคำให้การมาให้ลงชื่อโดยจำเลยไม่ได้อ่านข้อความก่อนจึงเป็นการให้การโดยไม่สมัครใจนั้น จำเลยกล่าวอ้างขึ้นอย่างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักพอฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกเอกรินทร์ ผู้เป็นหัวหน้าผู้ร่วมจับกุมจำเลยว่า พยานได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนจากประเทศกัมพูชาเข้ามาในราชอาณาจักร ทางด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภออรัญประเทศ ตั้งแต่เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ของวันที่ 4 กันยายน 2547 พยานจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และร่วมกับพวกวางแผนจับกุม พยานเบิกความด้วยว่า นอกจากสายลับจะแจ้งโดยระบุชื่อจำเลยแล้ว ยังได้แจ้งรูปพรรณสัณฐานของจำเลยให้ทราบด้วย แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าร้อยตำรวจเอกเอกรินทร์ได้มีการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ไม่มีการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภออรัญประเทศเพื่อจับกุมจำเลยขณะที่เดินทางผ่านด่านตามที่สมควรจะกระทำ พยานอ้างว่ารู้ว่าจำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้ใคร แต่ไม่ปรากฏว่ามีการขยายผลเพื่อจับกุมผู้ที่จำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งตามที่ควรจะกระทำเช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตำรวจกระทำกันโดยทั่วไป ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภออรัญประเทศกับเมืองพัทยาที่เกิดเหตุระยะทางอยู่ห่างกันมาก จำเลยถูกจับกุมหลังจากเดินทางเข้าด่านมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ประกอบกับข้อพิรุธของพยานโจทก์ที่ไม่แจ้งข้อหาจำเลยว่านำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่แรกเมื่อจับกุมและสอบสวน ทั้งที่อ้างว่ารู้ว่าจำเลยนำมาจากประเทศกัมพูชา และต่อมาเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยก็ให้การปฏิเสธทันที เช่นนี้เห็นว่า พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่อาจเชื่อได้โดยสนิทใจว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย กรณีมีเหตุสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อหานี้ให้จำเลย อย่างไรก็ตาม โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า การนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการกระทำที่มีลักษณะรวมถึงการครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้ด้วยเพื่อให้การนำเข้านั้นสำเร็จ จึงถือได้ว่าการครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งเป็นความผิดในตัวเองด้วยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ซึ่งโจทก์ได้มีคำขอตามมาตรา 66 มาท้ายฟ้องแล้วด้วย กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหก ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่พิจารณาได้ความได้ จำเลยจึงคงมีความผิดเฉพาะข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหมดไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์บางส่วนฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดโทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,500,000 บาท คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 1,000,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ในการกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเป็นเวลาไม่เกินหนึ่งปี ริบรองเท้าแตะและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share