คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6875/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 มาตรา 30 เป็นบทบัญญัติให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าไปในสถานที่ที่มีการขุดดินหรือถมดินเพียงเพื่อตรวจสอบว่ามีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น กรณีหาจำต้องมีหมายค้นของศาลไม่ เมื่อผู้เสียหายแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 และแจ้งว่ามีความประสงค์จะตรวจสอบที่ดินตามที่มีการแจ้งว่ามีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 แต่จำเลยไม่ยอมให้เข้าไปในที่ดินเพื่อตรวจสอบ การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาขัดขวางผู้เสียหายอันเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 138 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 มาตรา 30, 33 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 (ที่ถูก มาตรา 138 วรรคหนึ่ง) จำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า นายชุมพล ผู้เสียหาย ซึ่งดำรงตำแหน่งนิติกร เทศบาลตำบลบ้านเพ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ได้รับแต่งตั้งจากนายกเทศมนตรีตำบลบ้านเพให้เป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 ก่อนวันที่ 7 มกราคม 2554 ผู้เสียหายได้รับแจ้งจากกองช่างเทศบาลตำบลบ้านเพว่า มีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 ที่บริเวณตรงข้ามท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลบ้านเพ วันที่ 7 มกราคม 2554 ผู้เสียหาย พนักงานกองช่าง ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า และเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเพ จึงเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าว เมื่อไปถึงพบจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน ผู้เสียหายจึงแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 และมีความประสงค์จะตรวจสอบที่ดินตามที่มีการร้องเรียนว่ามีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 แต่จำเลยไม่ให้เข้าไปในที่ดินและยืนขวางไว้ ต่อมาผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้แก่จำเลย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2543 ซึ่งขณะนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ยังมีผลใช้บังคับ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 35 วรรคสอง บัญญัติว่า “บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองในการที่จะอยู่อาศัยและครอบครองเคหสถานโดยปกติสุข การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครองหรือการตรวจค้นเคหสถานจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ดังนี้ การที่มาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 บัญญัติว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบสถานที่ที่มีการขุดดินตามมาตรา 17 หรือการถมดินตามมาตรา 26 ว่าได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่ ทั้งนี้ ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกหรือในระหว่างเวลาทำการ และให้ผู้ขุดดิน ผู้ถมดิน หรือตัวแทนหรือเจ้าของที่ดินอำนวยความสะดวกตามสมควร” จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าไปในสถานที่ที่มีการขุดดินหรือถมดินเพียงเพื่อตรวจสอบว่ามีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น กรณีหาจำต้องมีหมายค้นของศาลดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยไม่ เมื่อผู้เสียหายแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 และแจ้งว่ามีความประสงค์จะตรวจสอบที่ดินตามที่มีการแจ้งว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 แต่จำเลยไม่ยอมให้เข้าไปในที่ดินเพื่อตรวจสอบ การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาขัดขวางผู้เสียหายอันเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share