แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ. และโจทก์ทำสัญญาใช้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองของจำเลยที่ 1 โดย พ. ถือบัตรหลัก โจทก์ถือบัตรเสริม ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารจำเลยที่ 1 อนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดแล้ว ผู้ถือบัตรหลักและผู้ถือบัตรเสริมจะต้องร่วมกันรับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรนั้นอย่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ตอนท้ายสัญญาในช่องผู้ให้สัญญา ย่อมเป็นการตกลงเข้าร่วมรับผิดกับ พ. ในการใช้บัตรหลักด้วยอย่างลูกหนี้ร่วมโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 297
แม้สัญญาการใช้บัตรเครดิตมีข้อตกลงกันว่า กรณีการเรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรเครดิต พ. ยินยอมให้จำเลยที่ 1 หักเงินจากบัญชีกระแสรายวันของ พ. แต่พฤติการณ์ที่ พ. ขอเปิดบัญชีกระแสรายวันในวันเดียวกับที่สมัครขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิต และจำเลยที่ 1 ให้ พ. เปิดบัญชีกระแสรายวันโดยไม่มีการใช้เช็คเพื่อเบิกถอนเงิน แสดงว่าเป็นบัญชีกระแสรายวันใช้เฉพาะเพื่อชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิต จึงไม่ใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 529,959.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 244,791.04 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า นางสาวพีรพัทธกับโจทก์ทำสัญญาใช้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองของจำเลยที่ 1 โดยนางสาวพีรพัทธถือบัตรหลักและโจทก์ถือบัตรเสริม มีข้อตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 หักเงินจากบัญชีกระแสรายวันชื่อนางสาวพีรพัทธซึ่งใช้เดินสะพัดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างนางสาวพีรพัทธกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์และนางสาวพีรพัทธให้ร่วมกันชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17294/2540 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางสาวพีรพัทธและโจทก์ร่วมกันชำระเงิน 281,108.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 244,791.04 บาท นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2540 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด จากนั้นจำเลยที่ 1 ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวม โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้แล้วของดการบังคับคดีไว้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่ต้องร่วมรับผิดกับนางสาวพีรพัทธในหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตหลักซึ่งนางสาวพีรพัทธเป็นผู้ถือด้วย โจทก์จะร่วมรับผิดเฉพาะหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเสริมซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือเท่านั้น ทั้งหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตทั้งหมดระงับไปเพราะถูกแปลงหนี้ใหม่เป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นบัญชีเดินสะพัดระหว่างนางสาวพีรพัทธแต่เพียงผู้เดียวกับจำเลยที่ 1 แล้ว เห็นว่า ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิต ข้อ 5 ระบุไว้ว่าในกรณีที่ธนาคารอนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดแล้ว ผู้ถือบัตรหลักและผู้ถือบัตรเสริมจะต้องร่วมกันรับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรนั้นอย่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ตอนท้ายสัญญาในช่องผู้ให้สัญญา ย่อมเป็นการตกลงเข้าร่วมรับผิดกับนางสาวพีรพัทธในการใช้บัตรหลักด้วยอย่างลูกหนี้ร่วมโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนเรื่องหนี้ระงับไปหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้สัญญาการใช้บัตรเครดิตมีข้อตกลงกันว่ากรณีการเรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรเครดิตนางสาวพีรพัทธยินยอมให้จำเลยที่ 1 หักเงินจากบัญชีกระแสรายวันของตนแม้ว่าจะทำให้บัญชีดังกล่าวเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่นางสาวพีรพัทธมีคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันในวันเดียวกันกับที่สมัครขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิต และจำเลยที่ 1 ให้นางสาวพีรพัทธเปิดบัญชีกระแสรายวันโดยมิได้มีการใช้เช็คเพื่อเบิกถอนเงินตามทางปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมิได้มีการทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้ด้วย เช่นนี้ แสดงว่าเป็นบัญชีกระแสรายวันที่ใช้เฉพาะเพื่อให้นางสาวพีรพัทธชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตแต่เพียงอย่างเดียว หาใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่ หนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวจึงไม่ใช่หนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและกรณีไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่แต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องตรงกันมาว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ