คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และมาตรา 66 วรรคสอง ป.อ. มาตรา 83 หากจำเลยเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษา แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิดังกล่าวจนคดีถึงที่สุด จำเลยจึงมิอาจยื่นคำร้องในภายหลังว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าเฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัมดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 66 วรรคสอง เดิม แม้โจทก์นำสืบว่าเฮโรอีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัม ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตาม มาตรา 66 วรรคสอง เดิม ได้ เพราะการกระทำของจำเลยคงเป็นความผิดตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ หากศาลฟังตามคำร้องของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 190
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และมาตรา 66 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายในภายหลัง และความผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3) และมาตรา 66 วรรคสาม ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ริบเฮโรอีนและรถจักรยานยนต์ของกลาง
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ปรับบทลงโทษเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) และกำหนดโทษจำเลยใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยขอแก้ไขคำพิพากษาที่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง (เดิม) เป็นมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) เป็นกรณีที่ต้องใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงมิอาจแก้ไขให้ตามคำร้องของจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยขอให้กำหนดโทษจำเลยใหม่นั้น เมื่อตามคำพิพากษายังฟังว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง (เดิม) ประกอบกับเฮโรอีนของกลางในคดีนี้คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ถึง 267.320 กรัม การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิตก่อนลดโทษ เห็นว่า เหมาะสมแล้ว จึงไม่กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามคำร้อง ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ปล่อยจำเลยไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 นำกฎหมายที่แก้ไขใหม่มากำหนดโทษของจำเลยใหม่ชอบหรือไม่ คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเฮโรอีน 1 ถุง น้ำหนัก 343.290 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 267.320 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และระหว่างจำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วอยู่นั้น ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน ที่จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า เฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัมดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 66 วรรคสอง เดิม แม้โจทก์นำสืบว่าเฮโรอีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัม ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 66 วรรคสอง เดิม ได้ การกระทำของจำเลยคงเป็นความผิดตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเดิม จึงต้องใช้กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) นั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และมาตรา 66 วรรคสอง เดิม แล้ว หากจำเลยเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 9 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิดังกล่าวจนคดีถึงที่สุด หากศาลฟังตามคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ซึ่งห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอ่านแล้ว นอกจากถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด
คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และมาตรา 66 วรรคสอง เดิม ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต และความผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3) และมาตรา 66 วรรคสาม ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย กรณียังคงต้องลงโทษจำเลยตามกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิด คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 นำกฎหมายที่แก้ไขใหม่มากำหนดโทษของจำเลยใหม่จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย

Share