คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9743/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน มีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด น้ำหนักสุทธิ 0.110 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ศาลจะลงโทษบทใดบทหนึ่งก็ได้ จึงถือได้ว่าจำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง เมื่อขณะจำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก หรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล พนักงานสอบสวนต้องนำตัวจำเลยขณะเป็นผู้ต้องหาไปศาลภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่จำเลยมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด การที่พนักงานสอบสวนดำเนินการฝากขังตลอดมาและพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 5 ปี คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน มีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด น้ำหนักสุทธิ 0.110 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับ ซึ่งตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติด เสพและมีไว้ในครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือเสพและจำหน่ายยาเสพติดตามลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณที่กำหนดในกฎกระทรวง ถ้าไม่ปรากฏว่าต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก หรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามพิพากษาของศาล ให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ต้องหานั้นมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน เพื่อให้ศาลพิจารณามีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด…” และกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณของยาเสพติด พ.ศ.2546 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ข้อ 1 และข้อ 2 ได้กำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณของยาเสพติดสำหรับความผิดฐานเสพยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ให้รวมถึงเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วย ตามข้อ 1 (1) (ข) ส่วนความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครอง ความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติดตาม มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ต้องมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ตามข้อ 2 (1) (ข) ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด น้ำหนักสุทธิ 0.110 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไปซึ่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ศาลจะลงโทษบทใดบทหนึ่งก็ได้ จึงถือได้ว่าจำเลยต้องหากระทำความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติด ตามกฎกระทรวงข้อ 1 (1) (ข) และข้อ 2 (1) (ข) ทั้งขณะจำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก หรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล รวมทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุยกฟ้องตามกฎหมายประการอื่นซึ่งจะทำให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด การกระทำความผิดของจำเลยถือได้ว่าต้องเงื่อนไขของมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 พนักงานสอบสวนต้องนำตัวจำเลยขณะเป็นผู้ต้องหาไปศาลภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด การที่พนักงานสอบสวนดำเนินการฝากขังตลอดมาและพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาล โดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาต่อมาและพิพากษายกฟ้องมานั้น จึงมิชอบเช่นกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share