แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดิน และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวและจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิม แล้วจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วน รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและขอให้ เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี กับขอให้เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ก็เป็นไปเพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินส่วนที่มีการรังวัดรุกล้ำว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๘/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ นายวิรัตน์ เทพภูษาวัฒนา ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องการเคหะแห่งชาติ ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๕๔/๒๕๕๔ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๒ ตำบล บางเพรียง อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๕ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และนายอำเภอบางพลีกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำขอรังวัดรวมที่ดินหลายแปลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโฉนดที่ดินแปลงเดียว ซึ่งในการรังวัดดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอบางพลีหรือผู้แทนกระทำการไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญ และนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน โดยนำชี้ย้ายและลบแผนที่ลำรางสาธารณประโยชน์ออกไปจากแผนที่เดิม ทั้งมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ ตำบลบางเสาธง (เสาธง) อำเภอบางเสาธง (บางพลี) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑,๙๓๖ ไร่ ๑๓ ตารางวา จากนั้นได้นำที่ดินบริเวณที่รุกล้ำที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีไปจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมจำนวน ๖ แปลง เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๔๖ เลขที่ ๙๖๑๑ เลขที่ ๖๗๖๔๙ เลขที่ ๕๖๕๑ เลขที่ ๕๖๕๖ และเลขที่ ๑๖๐๗๗ และจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ให้ขับไล่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และบริวารออกจากที่พิพาท กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่ฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือรวมโฉนดที่ดินเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี แล้วรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินในนามเดิมและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้จะมีประเด็นต้องพิจารณาว่า ที่พิพาทเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน เป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๒ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ก็เป็นเพียงการรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รังวัดรวมที่ดินและแบ่งแยกในนามเดิมและทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่พิพาทตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นำรังวัด เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งยังไม่ปรากฏกรณีที่จะโต้แย้งกันว่าที่พิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบคำขอท้ายฟ้องเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาท การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองนำชี้ย้ายและลบแผนที่ลำรางสาธารณประโยชน์และนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๒ แต่ในการรังวัดรวมที่ดินหลายแปลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโฉนดที่ดินแปลงเดียว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอบางพลีหรือผู้แทนนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ และจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมจำนวน ๖ แปลง แล้วจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี กับขอให้เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ก็เป็นไปเพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินส่วนที่มีการรังวัดรุกล้ำว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวิรัตน์ เทพภูษาวัฒนา ผู้ฟ้องคดี การเคหะแห่งชาติ ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ