คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1710/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมนั้น เป็นเพียงผลตามกฎหมายในกรณีเลิกสัญญาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เท่านั้น สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้รับชำระเงินตามสัญญาและไม่ได้รับการโอนคืนประทานบัตรรวมทั้งทรัพย์สินอื่นตามที่จำเลยทั้งสองตกลงว่าจะคืนให้ หากโจทก์ประสงค์ที่จะได้รับชำระเงินหรือทรัพย์สินสิ่งใดที่มีการโอนหรือส่งมอบตามสัญญาไปแล้วคืนเพียงใด อย่างไรหรือจำนวนเท่าใด ก็ชอบที่จะต้องระบุมาในคำขอท้ายฟ้องเพื่อศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติและบังคับคดีได้โดยถูกต้อง โจทก์จะอ้างว่าเมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะเดิมแล้วโจทก์จะไปไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองตามรายละเอียดในสัญญาต่อไปโดยอาศัยคำพิพากษาดังกล่าวหาได้ไม่ คำขอของโจทก์ในลักษณะเช่นนี้จึงไม่มีสภาพเป็นคำขอบังคับที่ศาลจะพิพากษาให้ตามคำขอได้ ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าโจทก์จะเสียค่าขึ้นศาลในทรัพย์สินส่วนที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมมาด้วยหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย – ร่วมลงทุน ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองและให้โจทก์กับจำเลยทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนมีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย – ร่วมลงทุน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ (ที่ถูก พิพากษาแก้) เป็นว่า สัญญาจะซื้อจะขาย-ร่วมลงทุนตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย-ร่วมลงทุน ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเลิกกัน ส่วนคำขอกลับคืนสู่ฐานะเดิมให้ยก โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขาย-ร่วมลงทุน โดยมีบันทึกต่อท้ายสัญญาเป็นรายการจ่ายเช็คตามสัญญาจะซื้อจะขายและร่วมลงทุนเหมืองหินอ่อน ระบุเลขที่เช็คและจำนวนเงินตามเช็คที่ผู้จะซื้อจ่ายทั้งหมดให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายและผู้ร่วมทุนที่ 1 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 14,000,000 บาท เป็นจำนวนเช็คทั้งหมด 123 ฉบับ และข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์โอนประทานบัตรเหมืองหินอ่อน เลขที่ 24966/14521 ให้จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองเพียงแต่ออกใบหุ้นบริษัทพรนเรศว์ จำกัด ให้แก่นายยงยุทธ ตามข้อ 3 ของสัญญา ส่วนเช็คจำนวน 123 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเกือบทุกฉบับ จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการชำระราคาแก่โจทก์จนเลยระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เป็นการผิดสัญญา
มีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้โจทก์และจำเลยทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนมีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายร่วมลงทุน นั้น ชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขาย-ร่วมลงทุน เลิกกันแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ไม่อาจยกคำขอบังคับของโจทก์ที่ให้โจทก์และจำเลยทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมก่อนทำสัญญาได้ เพราะเมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนการที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคืนทรัพย์สินตามสัญญาอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องที่โจทก์จะไปไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองในภายหลังโดยอาศัยคำพิพากษาที่ให้โจทก์และจำเลยทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะเดิม ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาหรือให้ชำระหนี้ โจทก์จึงไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลในทรัพย์สินส่วนที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ด้วยเหตุที่ว่าเป็นคำขอที่ไม่ชัดเจนและโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในทรัพย์สิน ส่วนที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ เห็นว่า การที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมนั้น เป็นเพียงผลตามกฎหมายในกรณีเลิกสัญญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เท่านั้น สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้รับชำระเงินตามสัญญาและไม่ได้รับการโอนคืนประทานบัตรรวมทั้งทรัพย์สินอื่นตามที่จำเลยทั้งสองตกลงว่าจะคืนให้ ฉะนั้น หากโจทก์ประสงค์ที่จะได้รับชำระเงินหรือทรัพย์สินสิ่งใดที่มีการโอนหรือส่งมอบตามสัญญาไปแล้วคืนเพียงใด อย่างไรหรือจำนวนเท่าใด ก็ชอบที่จะต้องระบุมาในคำขอท้ายฟ้อง เพื่อศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติและบังคับคดีได้โดยถูกต้อง โจทก์จะอ้างว่าเมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะเดิมแล้ว โจทก์จะไปไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองตามรายละเอียดในสัญญาต่อไปโดยอาศัยคำพิพากษาดังกล่าวหาได้ไม่ คำขอของโจทก์ในลักษณะเช่นนี้จึงไม่มีสภาพเป็นคำขอบังคับที่ศาลจะพิพากษาให้ตามคำขอได้ ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าโจทก์จะเสียค่าขึ้นศาลในทรัพย์สินส่วนที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมมาด้วยหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share