แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและยึดกัญชาแห้ง 5 ห่อ น้ำหนักสุทธิ 23.740 กรัม เป็นของกลาง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายกัญชาตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง จำคุกกระทงละ 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมิได้จำหน่ายกัญชา พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง แต่เพียงฐานเดียว ลงโทษจำคุก 3 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอุทธรณ์แก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษอันเป็นการแก้ไขมากแต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
การที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76, 76/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91 บวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.5303/2544 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ และริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.5303/2544 ของศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน 15 วัน ริบกัญชาของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 เดือน 15 วัน บวกโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.5303/2544 ของศาลชั้นต้น เป็นจำคุกจำเลย 2 เดือน 30 วัน (ที่ถูก ข้อหาอื่นให้ยก) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ และยึดกัญชาแห้ง 5 ห่อ น้ำหนักสุทธิ 23.740 กรัม เป็นของกลาง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง จำคุกกระทงละ 2 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมิได้จำหน่ายกัญชา พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง แต่เพียงฐานเดียว ลงโทษจำคุก 3 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ดังนั้น ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอุทธรณ์แก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษอันเป็นการแก้ไขมาก แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 การที่โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาโจทก์ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยความผิดฐานดังกล่าว คงรับวินิจฉัยให้เพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายกัญชาหรือไม่ โจทก์มีผู้ร่วมจับกุมจำเลยมาเบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายกัญชาที่บริเวณชุมชนป้าย 7 จึงวางแผนจับกุมโดยการล่อซื้อ ร้อยตำรวจโทรุ่งสกุล นำธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 1 ฉบับ ไปลงรายงานประจำวันและถ่ายสำเนาไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นพยานทั้งสองและสายลับจึงเดินทางไปล่อซื้อกัญชาจากจำเลย โดยพยานทั้งสองไปซุ่มดูอยู่ห่างจากบ้านไม่มีเลขที่ที่เกิดเหตุในชุมชนซอย 7 ประมาณ 10 เมตร เห็นสายลับเข้าไปพูดคุยกับจำเลยแล้วมอบธนบัตรแก่จำเลย จำเลยเดินไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามหยิบกระเป๋าแบบคาดเอวขึ้นมารูดซิบล้วงเอาสิ่งของข้างในส่งให้แก่สายลับ สายลับนำมามอบให้แก่ร้อยตำรวจโทรุ่งสกุล เมื่อตรวจดูเห็นว่าเป็นกัญชา จึงเข้าจับกุมจำเลย จากการตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อปะปนอยู่กับธนบัตรอื่นในกระเป๋ากางเกงของจำเลย และพบกัญชา 4 ห่อเล็ก ในกระเป๋าคาดเอว ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชา จำเลยให้การรับสารภาพ และมีร้อยตำรวจเอกวิรุทธิ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า ชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยเหมือนกับชั้นจับกุม จำเลยให้การรับสารภาพ และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ในขณะที่สายลับล่อซื้อกัญชาจากจำเลย เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในเรื่องธนบัตรของกลางที่มอบให้สายลับใช้ล่อซื้อกัญชาจากจำเลย มีการถ่ายสำเนา และลงรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานก่อนที่จะมอบให้สายลับไปดำเนินการ เมื่อสายลับล่อซื้อกัญชามาได้ พยานผู้ร่วมจับกุมได้เข้าจับกุมจำเลยทันที จากการตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในกระเป๋ากางเกงของจำเลย ขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปในระยะกระชั้นชิดต่อเนื่องกัน แม้พยานทั้งสองจะเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับกระเป๋าคาดเอวที่พบกัญชาของกลางจำนวน 4 ห่อ โดยร้อยตำรวจโทรุ่งสกุลเบิกความว่า ค้นพบกระเป๋าคาดเอวอยู่ในตระกร้าผ้า ซึ่งวางอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านจำเลย ส่วนจ่าสิบตำรวจณิพัธพงษ์ เบิกความว่า ขณะที่เข้าจับกุมจำเลย จำเลยยังถือกระเป๋าคาดเอวอยู่ ก็ยังไม่ถึงกับเป็นข้อพิรุธถึงขนาดทำให้คำเบิกความของพยานทั้งสองไม่มีน้ำหนักให้รับฟังแต่อย่างใด และเมื่อนำคำเบิกความของพยานทั้งสองมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนแล้ว แม้โจทก์จะไม่นำสายลับมาเบิกความเป็นพยาน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก็มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยจำหน่ายกัญชาตามฟ้อง พยานจำเลยที่นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยมีกัญชาของกลางจำนวน 5 ห่อ ไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และจำเลยลงชื่อในเอกสารที่เจ้าพนักงานตำรวจนำมาให้ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาในส่วนนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วเป็นจำคุก 1 ปี 5 เดือน 15 วัน บวกโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ย.5303/2544 ของศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน 30 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์