แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่า โจทก์กู้เงินมาเพื่อสร้างบ้านให้ผู้หญิงอื่นโดยไม่ส่งเสียเลี้ยงดูจำเลยและบุตรทั้งสาม ผู้บังคับบัญชาของโจทก์จึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ โจทก์ยอมรับต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่า เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่าใช้จ่ายสูง จึงมีปัญหาเรื่องเงิน และโจทก์ตกลงยินยอมให้เจ้าหน้าที่การเงินหักเงินเดือนส่วนที่เหลือและได้รับจริงร้อยละ 70 ให้แก่จำเลยจนกว่าบุตรทั้งสามจะเรียนจบชั้นปริญาญาตรี อันแสดงว่าโจทก์เองก็ยอมรับว่าโจทก์มิได้ส่งเสียเลี้ยงดูบุตรทั้งสามและจำเลยเท่าที่ควรดังที่จำเลยร้องเรียน จึงยินยอมตกลงให้หักเงินเดือนของโจทก์ให้แก่จำเลยเช่นนั้น กรณีจึงมีมูลความจริงอันเป็นเหตุให้การร้องเรียนของจำเลยเป็นความถูกต้องชอบธรรมที่จำเลยจักกระทำได้ จึงไม่เป็นการกระทำที่โจทก์จะนำมาอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา โดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยร้องเรียนโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ ในที่สุดมีการตกลงกันตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า การร้องเรียนของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาทำนองว่า เหตุที่จำเลยไปร้องเรียนเพราะมีความหึงหวงโกรธโจทก์อันเกิดจากการที่โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ จำเลยจึงไปร้องเรียนว่าโจทก์มิได้ส่งเสียเลี้ยงดูบุตรทั้งสามและจำเลย โดยมิได้ร้องเรียนเรื่องผู้หญิง การร้องเรียนของจำเลยจึงไม่มีมูลความจริงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนต่อการเป็นสามีภริยากัน ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง เป็นการทรมานจิตใจ หมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ได้ความว่า จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่า โจทก์กู้เงินมาจำนวน 300,000 บาท เพื่อสร้างบ้านให้ผู้หญิงอื่นโดยไม่ส่งเสียเลี้ยงดูจำเลยและบุตรทั้งสาม ผู้บังคับบัญชาของโจทก์จึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ในที่สุดมีการตกลงเกี่ยวกับค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียนบุตรทั้งสาม ตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานระบุว่า จำเลยแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่า จำเลยได้รับความเดือนร้อนแทนโจทก์ไม่ดูแลครอบครัวเท่าที่ควร และผู้บังคับบัญชาเรียกโจทก์มาพบและสอบถามข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่า โจทก์ยอมรับว่า เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่าใช้จ่ายสูง จึงมีปัญหาเรื่องเงินบ้าง และโจทก์ตกลงยินยอมให้เจ้าหน้าที่การเงินหักเงินเดือนส่วนที่เหลือและได้รับจริงร้อยละ 70 ให้แก่จำเลยจนกว่าบุตรทั้งสามจะเรียนจบชั้นปริญญาตรี อันแสดงว่าโจทก์เองก็ยอมรับว่าโจทก์มิได้ส่งเสียเลี้ยงดูบุตรทั้งสามและจำเลยเท่าที่ควรดังที่จำเลยร้องเรียน จึงยินยอมตกลงให้หักเงินเดือนของโจทก์ให้แก่จำเลยเช่นนั้น กรณีจึงมีมูลความจริงอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ การร้องเรียนของจำเลยจึงเป็นความถูกต้องชอบธรรมที่จำเลยจักกระทำได้ดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงไม่เป็นการกระทำที่โจทก์จะนำมาอ้างเป็นเหตุหย่าจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ