คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10048/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 530 เม็ด น้ำหนัก 20.188 กรัม ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนคำนวณสารบริสุทธิ์ 20.188 กรัม เพื่อให้ตรงตามรายงานการตรวจพิสูจน์ จำเลยทั้งสองรับสารภาพว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 530 เม็ด น้ำหนัก 20.188 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 20.188 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยทั้งสามจึงมิได้หลงต่อสู้ การขอแก้ฟ้องจึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 1,000,000 บาท ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงปรับคนละ 666,666 บาท เป็นการคำนวณที่ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องปรับคนละ 666,666.66 บาท ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 666,666.66 บาท ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสาม ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 530 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ปฏิเสธว่ามิใช่น้ำหนักสารบริสุทธิ์ 20.188 กรัม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2) (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคสาม (2)), 66 วรรคสาม, 102 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 วางโทษจำคุกคนละตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,000,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้องบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 666,666 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 530 เม็ด
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การแก้ฟ้องเป็นกรณีที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 และ 164 โดยเดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามมีเมทแอมเฟตามีน จำนวน 530 เม็ด น้ำหนัก 20.188 กรัม ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่า น้ำหนักสารบริสุทธิ์ 20.188 กรัม เพื่อให้ตรงตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลาง จำเลยทั้งสามให้การตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ว่า จำเลยทั้งสามรับสารภาพว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 530 เม็ด น้ำหนัก 20.188 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนคำนวณน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 20.188 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้ การขอแก้ฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 1,000,000 บาท ลดโทษให้จำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คนละหนึ่งในสาม คงปรับคนละ 666,666 บาท นั้น เป็นการคำนวณที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากหากลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว จะต้องปรับคนละ 666,666.66 บาท ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 666,666.66 บาทได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสาม ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
พิพากษายืน

Share