คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10072/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ บ. ไปยังที่เกิดเหตุ ขณะที่ บ. ใช้ไม้ตีศีรษะผู้เสียหาย จำเลยก็ยืนอยู่ข้างๆ บ. ในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือให้การกระทำของ บ. สัมฤทธิ์ผล เมื่อพิเคราะห์ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาสวัสดิภาพของประชาชน แต่กลับเข้าสมทบให้กำลังใจ บ. ให้เข้าทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส นอกจากนี้ยังได้ความว่า หลังจากที่ บ. ตีผู้เสียหายแล้ว แทนที่จำเลยจะเข้าจับกุม บ. ไปดำเนินคดี จำเลยกลับกล่าวหนุนให้ บ. ทำร้ายผู้เสียหายซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับ บ. ทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 83 จำคุก 6 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในวันเกิดเหตุขณะที่พยานจอดรถจักรยานยนต์รอรับลูกค้าอยู่นั้นพยานเห็นผู้เสียหายวิ่งออกมาจากซอยที่เกิดเหตุ ที่ศีรษะของผู้เสียหายมีบาดแผลโลหิตไหลผู้เสียหายวิ่งไปหานางศุรดาซึ่งยืนอยู่ที่ปากซอย ส่วนนายบุญเลิศขับรถจักรยานยนต์ไล่ติดตามผู้เสียหายมา แต่รถจักรยานยนต์ของนายบุญเลิศเสียหลักล้มลงก่อนที่แล่นไปถึงผู้เสียหายขณะนั้นจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงพยานจึงขับรถจักรยานยนต์ไปรับจำเลยจากร้านค้าในซอยไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้เสียหายกับนางศุรดาอย่างเห็นได้ชัด คำเบิกความของผู้เสียหายกับนางศุรดาจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเห็นว่า แม้นายสมบูรณ์จะเบิกความดังที่จำเลยฎีกา แต่นายสมบูรณ์ยอมรับว่าในชั้นสอบสวนนายสมบูรณ์ไม่ได้ให้การว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ยิ่งไปกว่านั้นยังเบิกความรับว่านายบุญเลิศที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นผู้พานายสมบูรณ์ไปเบิกความต่อศาลชั้นต้น พฤติการณ์ของนายสมบูรณ์มีเหตุผลอันควรระแวงว่าน่าจะไม่ได้เบิกความไปโดยสุจริต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า คำเบิกความของนายสมบูรณ์มุ่งหมายจะช่วยให้จำเลยหลุดพ้นจากความผิด ไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างคำเบิกความของผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายบุญเลิศไปยังที่เกิดเหตุ ขณะที่นายบุญเลิศใช้ไม้ตีศีรษะผู้เสียหาย จำเลยก็ยืนอยู่ข้าง ๆ นายบุญเลิศในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือให้การกระทำของนายบุญเลิศสัมฤทธิ์ผล เมื่อพิเคราะห์ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาสวัสดิภาพของประชาชนแต่กลับเข้าสมทบให้กำลังใจนายบุญเลิศให้เข้าทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส นอกจากนี้ยังได้ความว่า หลังจากที่นายบุญเลิศตีผู้เสียหายแล้ว แทนที่จำเลยจะเข้าจับกุมนายบุญเลิศไปดำเนินคดี จำเลยกลับกล่าวหนุนให้นายบุญเลิศทำร้ายผู้เสียหายซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับนายบุญเลิศทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน หาใช่เป็นการใช้ให้นายบุญเลิศทำร้ายร่างกายผู้เสียหายดังที่จำเลยฎีกาไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีชอบแล้ว อนึ่ง แม้จะได้ความว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกนายบุญเลิศมีกำหนด 4 ปี แต่ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ซึ่งเบากว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยมาก แต่เมื่อคำนึงว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาสวัสดิภาพของประชาชนโดยทั่วไปกลับลงมือกระทำความผิดเสียเอง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข
พิพากษายืน

Share