คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7890/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดและมีการขายทอดตลาดจะเป็นสินสมรส อันเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านกับจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันตามที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธินำยึดและขายทอดตลาดได้ทั้งแปลง ผู้คัดค้านคงมีสิทธิขอกันส่วนของตนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด เพราะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหากมิใช่หนี้ร่วม เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับคดีจากสินสมรสได้เพียงในส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้เท่านั้น มิอาจกระทบกระเทือนสินสมรสในส่วนของคู่สมรสของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ ดังนั้น ปัญหาว่าหนี้เงินกู้ที่จำเลยมีต่อโจทก์เป็นหนี้ร่วมโดยผู้คัดค้านได้ให้สัตยาบันหรือมีหนังสือให้ความยินยอมดังที่โจทก์อ้างหรือไม่ จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะวินิจฉัยไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามสำนวนไม่ปรากฏในคำฟ้อง คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนคำขอยึดทรัพย์ระบุว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้คัดค้านกับจำเลย กรณีจึงยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลว่าเป็นหนี้ร่วมตามที่โจทก์กล่าวอ้างเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดกึ่งหนึ่งจ่ายให้แก่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมไปได้ การที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในภายหลังว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสและหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วม ไม่ทำให้การดำเนินการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์กล่าวอ้าง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8902 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ มีชื่อจำเลยและนายสำเริง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมออกขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดมาได้เงิน 360,000 บาท แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ตรวจรับรองบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงิน ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านบัญชีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งว่าได้จ่ายเงิน 180,000 บาท ให้แก่นายสำเริง ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมไปแล้ว การจ่ายเงินยังอยู่ในระยะเวลาตรวจรับรองบัญชีของโจทก์และอยู่ในระยะเวลาที่โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านบัญชี การกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการกระทำผิดระเบียบปฏิบัติและฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยและนายสำเริงมีความเกี่ยวพันกันโดยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย มูลหนี้ในคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างสมรสนายสำเริงได้ให้สัตยาบันหรือให้ความยินยอมในมูลหนี้ดังกล่าวแล้ว จึงเป็นหนี้ร่วม ทั้งที่ดินที่ขายทอดตลาดเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิยึดหรืออายัดทรัพย์สินในส่วนของนายสำเริงเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ ขอให้เพิกถอนการจ่ายเงิน 180,000 บาท แก่นายสำเริงและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์ที่ขายทอดตลาด ผู้คัดค้านมิได้ให้สัตยาบันหรือยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ทั้งผู้คัดค้านมิได้เป็นผู้ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน โจทก์คัดค้านบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้อ้างเอกสารหลักฐานมาแสดง การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีและแสดงรายการรับจ่ายเงินและมีคำสั่งคืนเงินให้แก่ผู้คัดค้านจึงเป็นการกระทำที่ชอบและเป็นสิทธิของผู้คัดค้านที่จะได้รับเงินในส่วนของตน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจ่ายเงิน 180,000 บาท แก่นายสำเริง ผู้คัดค้านและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ หากมีเงินเหลือจึงให้คืนแก่จำเลยหรือผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า ผู้คัดค้านเป็นสามีที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จำเลยเป็นหนี้กู้ยืมเงินโจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระเงินจำนวน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดที่ดินเลขที่ 8902 มีชื่อจำเลยและผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมออกขายทอดตลาดได้เงิน 360,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงิน โดยกันเงินกึ่งหนึ่งจ่ายให้แก่ผู้คัดค้านในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือ แล้วโจทก์ให้ไปตรวจรับรองบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงิน หากเห็นว่าไม่ถูกต้องให้โจทก์คัดค้านภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 ต่อมาโจทก์ยื่นคำคัดค้านบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินดังกล่าวว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรสของจำเลยและผู้คัดค้านซึ่งเป็นสามีภริยากัน ผู้คัดค้านให้สัตยาบันหรือให้ความยินยอมในหนี้จึงเป็นหนี้ร่วมเงิน 180,000 บาท ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกันไว้จ่ายให้แก่ผู้คัดค้านนั้น ต้องนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วย แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นเองให้ยกคำร้องของโจทก์ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จ่ายเงิน 180,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านรับไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2549 ก่อนที่โจทก์ยื่นคำคัดค้านบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงิน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้เพิกถอนการจ่ายเงิน 180,000 บาท แก่ผู้คัดค้าน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ หากมีเงินเหลือจึงให้คืนแก่จำเลยหรือผู้คัดค้านชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดและมีการขายทอดตลาดจะเป็นสินสมรส อันเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านกับจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันตามที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธินำยึดและขายทอดตลาดได้ทั้งแปลง ผู้คัดค้านคงมีสิทธิขอกันส่วนของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด เพราะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหากมิใช่หนี้ร่วม เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับคดีจากสินสมรสได้เพียงในส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้เท่านั้น มิอาจกระทบกระเทือนสินสมรสในส่วนของคู่สมรสของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ ดังนั้น ปัญหาว่าหนี้เงินกู้ที่จำเลยมีต่อโจทก์เป็นหนี้ร่วมโดยผู้คัดค้านได้ให้สัตยาบันหรือมีหนังสือให้ความยินยอมดังที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะวินิจฉัยไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามสำนวนไม่ปรากฏในคำฟ้อง คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนคำขอยึดทรัพย์ระบุว่า หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้คัดค้านและจำเลย กรณีจึงยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลว่า เป็นหนี้ร่วมตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดกึ่งหนึ่งจ่ายให้แก่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมไปได้ การที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างภายหลังว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสและหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมไม่ทำให้การดำเนินการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share