คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีพฤติการณ์ไปเฝ้าดูผู้ตาย จ. กับพวกที่ร้านข้าวต้มคาราโอเกะพร้อมกับพวกอีก 2 คน ต่อมาจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์ตามรถผู้ตายไปจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเรสซิเด้นท์ จำเลยจอดรถจักรยานยนต์ พวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามรถผู้ตายไปอีก 30 เมตร ก็แซงแล้วไปกลับรถจักรยานยนต์แล่นสวนมา เมื่อถึงรถผู้ตาย พวกของจำเลยที่นั่งซ้อนท้ายรถก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 2 นัด จากนั้นพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมกับจำเลย พฤติการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คนปรึกษาหารือ นัดแนะสมคบกันมาก่อนที่จะฆ่าผู้ตายและจำเลยรู้ดีว่าพวกของตนมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อใช้ยิงผู้ตาย แม้จำเลยจะจอดรถจักรยานยนต์รอที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเรสซิเด้นท์ แต่ก็อยู่ห่างจุดที่เกิดเหตุเพียง 30 เมตร และมองเห็นกันได้เชื่อว่า เป็นการเฝ้าดูต้นทางและให้ผู้ตายกับพวกคลายใจว่า จำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ได้ตามไปอาจลดความระมัดระวังป้องกันตนลงไปทั้งจำเลยยังอาจเข้าไปช่วยเหลือพวกของตนได้หากเกิดเหตุขัดข้องขึ้น ถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตาย ฐานมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบหัวกระสุนปืนของกลาง และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาดังกล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง วรรคสอง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจเรียงกระทงลงโทษความผิดอื่นได้อีก คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิตสถานเดียว ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบหัวกระสุนปืนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันฆ่านายสุพจน์ ผู้ตาย โดยใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย 2 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณลำคอและกระดูกสันหลังที่ต้นคอหัก เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับคนร้ายกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตาย ฐานมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนายสราวุฒิและนายจิระพงศ์ เป็นพยานเบิกความตรงกันสรุปว่า เริ่มเกิดเหตุจากเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมยามคลองหลวงแพ่งว่ากล่าวตักเตือนนายสราวุฒิกับพวกเรื่องดื่มสุราแล้วส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน ผู้ตายซึ่งเป็นนายจ้างของนายสราวุฒิกับพวกไม่พอใจจำเลยซึ่งเป็นผู้แจ้งเหตุแล้วทะเลาะกัน จำเลยทำท่าจะชกต่อยผู้ตาย แต่เจ้าพนักงานตำรวจห้ามไว้ เรื่องนี้มีจ่าสิบตำรวจกฤษณะ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความในทำนองเดียวกันและระบุว่าเห็นจำเลยเงื้อมือทำท่าจะชกผู้ตาย แต่จ่าสิบตำรวจกฤษณะเป็นผู้ห้ามไว้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จ่าสิบตำรวจกฤษณะรู้จักสนิทสนมกับจำเลย ดังที่จำเลยให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนไว้ว่า จำเลยโทรศัพท์แจ้งเหตุที่นายสราวุฒิกับพวกเมาสุราส่งเสียงดังในขณะที่จำเลยกำลังดูแลร้านอาหารของจ่าสิบตำรวจกฤษณะอยู่ และร้านอาหารของนางไพเราะ มารดาของจำเลย ตั้งอยู่ติดกับร้านอาหารของจ่าสิบตำรวจกฤษณะ จำเลยอาจไม่พอใจผู้ตายมากเพราะผู้ตายเอะอะโวยวายเหมือนไม่เกรงกลัวจ่าสิบตำรวจกฤษณะซึ่งจำเลยถือว่าเป็นลูกพี่ของตนดังที่ได้ความตามบันทึกคำให้การของนางชูศรี ภริยาผู้ตาย ในชั้นสอบสวน ผู้ตายโทรศัพท์บอกนางชูศรีว่าจ่าสิบตำรวจกฤษณะพูดว่า “มึงจะใหญ่มาจากไหน กูไม่ว่า แต่อย่ามาใหญ่ที่นี่ เพราะกูอยู่ที่นี่” แสดงว่าจ่าสิบตำรวจกฤษณะก็ไม่พอใจผู้ตายเช่นเดียวกัน จึงเป็นมูลเหตุเพียงพอให้จำเลยคิดฆ่าผู้ตายได้ นายสราวุฒิและนายจิระพงศ์เบิกความตรงกันว่า ขณะที่คนทั้งสองกับผู้ตายดื่มเบียร์อยู่ที่ร้านข้าวต้มคาราโอเกะ จำเลยขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า โซนิก สีเหลืองมากับชายอีกสองคนขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีน้ำเงินดำ จอดที่หน้าร้านดังกล่าวแล้วนั่งบนรถจักรยานยนต์เฉย ๆ บางเวลาก็มองเข้ามาในร้าน ผู้ตายเกรงว่าจะมีเรื่องอีกจึงชวนกลับ เมื่อเดินไปขึ้นรถกระบะของผู้ตาย จำเลยกับพวกก็มองผู้ตายกับพวกตลอดเวลา แล้วขับรถจักรยานยนต์ตามไปจนถึงหมู่บ้านเรสซิเด้นท์วิลล์ จนเข้าหมู่บ้านมีเพียงพวกของจำเลย 2 คน ที่ขับรถจักรยานยนต์แซงรถผู้ตายไปกลับรถมาใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย สำหรับเหตุการณ์ตอนหลังนี้จำเลยให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนไว้ตามบันทึกคำให้การว่า จากป้อมยามคลองหลวงแพ่ง จำเลยกลับไปที่ร้านอาหารของจ่าสิบตำรวจกฤษณะ พบนายประสิทธิ์ซึ่งเป็นเพื่อนและนายเพทาย ซึ่งเป็นญาติดื่มเบียร์อยู่ที่ร้านอาหารของมารดาจำเลย จำเลยจึงไปดื่มเบียร์แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง อีกพักหนึ่งจำเลยขับรถจักรยานยนต์และนายเพทายขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีดำ ให้นายประสิทธิ์นั่งซ้อนท้ายตามไป เมื่อแวะซื้อบุหรี่ที่ร้านค้าข้างร้านข้าวต้มคาราโอเกะ ก็เห็นผู้ตายกับพวกนั่งอยู่ในร้านจึงชี้ให้นายเพทายและนายประสิทธิ์ดูว่าเป็นพวกที่ทะเลาะกันมา จากนั้นจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์ไปที่หมู่บ้านเรสซิเด้นท์วิลล์อันเป็นเส้นทางเดียวกันกับรถผู้ตาย จำเลยจอดรถจักรยานยนต์ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน เห็นนายเพทายขับรถจักรยานยนต์ตามรถผู้ตายไปจนนายประสิทธิ์ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ซึ่งข้อเท็จจริงล้วนแต่เจือสมถ้อยคำพยานโจทก์ตลอดเรื่อง ที่จำเลยอ้างว่านายเพทายกับนายประสิทธิ์ฆ่าผู้ตายโดยพลการจำเลยไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ ขัดแย้งต่อเหตุผลเพราะจำเลยอ้างว่าก่อนออกจากร้านอาหารของจ่าสิบตำรวจกฤษณะ นายเพทายและนายประสิทธิ์บอกจำเลยว่าจะกลับบ้าน ส่วนจำเลยตั้งใจจะไปเล่นไฮโลที่วัดคลองเจ้า แต่กลับปรากฏว่าขับรถจักรยานยนต์ตามกันไปจนพบผู้ตายกับพวกอย่างบังเอิญจนไม่น่าเชื่อ จากนั้นแทนที่จำเลยจะเดินทางไปวัดคลองเจ้า กลับขับรถจักรยานยนต์ตามนายเพทายซึ่งเท่ากับเป็นการตามรถผู้ตายไปด้วย นายเพทายกับนายประสิทธิ์ไม่ใช่คู่กรณีกับผู้ตายโดยตรง ย่อมไม่มีเหตุให้คิดฆ่าผู้ตาย จำเลยยังให้การในชั้นสอบสวนว่า หลังเกิดเหตุจำเลยกับนายเพทายขับรถจักรยานยนต์ตามกันไปจนถึงวัดคลองเจ้า แล้วจำเลย นายเพทายกับนายประสิทธิ์เข้าไปเล่นไฮโลด้วยกัน เหมือนไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใด ๆ คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นการให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนแทบจะในทันทีหลังเกิดเหตุในวันเกิดเหตุนั้นเอง จึงไม่มีเวลาให้จำเลยไตร่ตรองหาหนทางต่อสู้คดี จำต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่มีประจักษ์พยานยืนยันเป็นส่วนใหญ่ ในชั้นพิจารณาจำเลยเบิกความบ่ายเบี่ยงไปว่าจำไม่ได้ว่า ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนไปตามที่บันทึกไว้หรือไม่และจำไม่ได้ว่าลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การหรือไม่ เป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ มีเหตุผลให้เชื่อว่าถ้อยคำตามบันทึกคำให้การเป็นของจำเลยที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนไปตามความสัตย์จริงโดยสมัครใจมีสาระสำคัญเจือสมถ้อยคำประจักษ์พยานโจทก์ให้รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยมีพฤติการณ์ไปเฝ้าดูผู้ตาย นายจิระพงศ์ กับพวกที่ร้านข้าวต้มคาราโอเกะพร้อมกับพวกอีก 2 คน ต่อมาจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์ตามรถผู้ตายไปจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเรสซิเด้นท์วิลล์ จำเลยจอดรถจักรยานยนต์ พวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามรถผู้ตายไปอีก 30 เมตร ก็แซงแล้วไปกลับรถจักรยานยนต์แล่นสวนมา เมื่อถึงรถผู้ตาย พวกของจำเลยที่นั่งซ้อนท้ายรถก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 2 นัด จากนั้นพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมกับจำเลย พฤติการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คน ปรึกษาหารือ นัดแนะสมคบคิดกันมาก่อนที่จะฆ่าผู้ตายและจำเลยรู้ดีว่าพวกของตนมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อใช้ยิงผู้ตาย แม้จำเลยจะจอดรถจักรยานยนต์รอที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเรสซิเด้นท์วิลล์ แต่ก็อยู่ห่างจุดที่เกิดเหตุเพียง 30 เมตร และมองเห็นกันได้ เชื่อว่าเป็นการเฝ้าดูต้นทางและให้ผู้ตายกับพวกคลายใจว่าจำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ได้ตามไป อาจลดความระมัดระวังป้องกันตนลงไป ทั้งจำเลยยังอาจเข้าไปช่วยเหลือพวกของตนได้หากเกิดเหตุขัดข้องขึ้น ถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่วินิจฉัยมารับฟังได้มั่นคงโดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตาย ฐานมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และโดยไม่มีเหตุสมควรให้จำคุกกระทงละ 2 ปี หนักเกินไป เห็นสมควรแก้ไขกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม สำหรับคำขอนับโทษต่อศาลชั้นต้นพิพากษายกคำขอ โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงยุติ ศาลฎีกาจึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทง คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบของกลาง คำขอนับโทษต่อให้ยก

Share