แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัท ส. ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท บ. ตัดและแปรรูปเหล็กม้วนเพื่อนำไปจำหน่ายแก่ลูกค้า และบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของบริษัท ส. ด้วย เมื่อบริษัท ส. ได้รับสินค้าจากผู้ขนส่งทางเรือแล้วได้ส่งมอบแก่บริษัท บ. ในสภาพเรียบร้อย และบริษัทดังกล่าวไปฝากให้จำเลยเก็บรักษาไว้โดยบริษัท บ. เป็นผู้ทำสัญญาฝากสินค้าเหล็กม้วนนี้เก็บในคลังสินค้ากับจำเลย โดยไม่ได้ความว่าบริษัทดังกล่าวทำสัญญานี้แทนบริษัท ส. แต่อย่างใด เมื่อเกิดความเสียหายแก่สินค้าเหล็กม้วนดังกล่าวก็เป็นกรณีที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้าต่อบริษัท บ. คู่สัญญากับจำเลยตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้า จำเลยหาได้มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาสินค้าด้วยความระมัดระวังตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้านี้ต่อบริษัท ส. ซึ่งมิใช่คู่สัญญากับจำเลยแต่อย่างใด ดังนั้นกรณีเช่นนี้จึงเป็นกรณีที่บริษัท ส. คู่สัญญาจ้างทำของต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายของสินค้าตามสัญญาจ้างทำของจากบริษัท บ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของกับจำเลยเท่านั้น หาใช่กรณีบริษัท ส. ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดให้ผิดไปจากความรับผิดโดยตรงของคู่กรณีที่มีต่อกันตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้าและสัญญาจ้างทำของได้อีกไม่ ดังนั้นบริษัท ส. จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในความเสียหายของสินค้าตามฟ้อง แม้โจทก์รับช่วงสิทธิจากบริษัท ส. ตามสัญญาประกันภัยก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเช่นเดียวกับบริษัท ส. จำเลยรวมทั้งจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยจากจำเลยย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 7,991,754.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 7,985,710.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยและจำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียก บริษัทไอเอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้รับประกันภัยของจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นจำนวน 3,992,855.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 389,850.01 บาท นับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2549 และในต้นเงิน 3,603,005.10 บาท นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2549 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 มีนาคม 2549) ต้องไม่เกิน 6,044.18 บาท ให้จำเลยและจำเลยร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
โจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพยสินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยและจำเลยร่วมว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้รับฝากสินค้าตามฟ้องไว้จากบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ผู้รับโอนสัญญาประกันภัยเพื่อเก็บรักษาไว้โดยมีบำเหน็จเป็นทางการค้าของจำเลยอันเป็นการเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้า แต่จากพยานหลักฐานของโจทก์กลับได้ความจากพยานโจทก์ปากนายอนุวัฒน์ พนักงานบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด นายภาสกร พนักงานบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด และนายดำรง ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ว่า บริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ประกอบกิจการรับจ้างตัดเหล็กม้วนตามที่ลูกค้าสั่งมีบริษัทโตโยต้า จำกัด และบริษัทกัลวิศน์ ออโต้พาร์ท จำกัด เป็นลูกค้ารายใหญ่ และมีลูกค้ารายย่อยซึ่งรวมถึงบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ด้วย โดยบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทบางกอกอีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ตัดและแปรรูปเหล็กม้วนเพื่อนำไปจำหน่ายแก่ลูกค้า และบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ด้วย รายละเอียดปรากฏตามสัญญาจ้างทำของ เมื่อบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ได้รับสินค้าจากผู้ขนส่งทางเรือแล้วได้ส่งมอบแก่บริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ในสภาพเรียบร้อย และบริษัทดังกล่าวไปฝากให้จำเลยเก็บรักษาไว้ โดยบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นผู้ทำสัญญาฝากสินค้าเหล็กม้วนนี้เก็บในคลังสินค้ากับจำเลย โดยไม่ได้ความว่าบริษัทดังกล่าวทำสัญญานี้แทนบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ผู้รับโอนสัญญาประกันภัยที่โจทก์รับประกันภัยไว้แต่อย่างใด และตามสัญญาจ้างระหว่างบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด กับบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ตามสัญญาจ้างทำของ ในข้อ 1 ระบุว่า บริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างและบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้รับจ้างตกลงรับจ้างทำของ ตัดเหล็กแผ่นม้วนรีดร้อนและเหล็กแผ่นม้วนรีดเย็นตามขนาดและรูปแบบที่ผู้ว่าจ้างกำหนด และสัญญาในข้อ 2 ระบุว่า บริษัทสยามบุณฑริก จำกัด เป็นผู้จัดหาวัสดุ (เหล็กแผ่นม้วนรีดร้อนและเหล็กแผ่นม้วนรีดเย็น) และส่งมอบให้แก่บริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ณ ที่ทำการบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ดังนี้บริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้รับจ้างทำของย่อมต้องมีหน้าที่ดูแลเหล็กม้วนและใช้สัมภาระเหล็กม้วนที่บริษัทสยามบุณฑริก จำกัด จัดหามาส่งมอบให้แล้วนั้นด้วยความระมัดระวัง และหากมีเหลือก็ต้องส่งคืนแก่ผู้ว่าจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 590 หากเหล็กม้วนนี้เสียหายบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ย่อมเป็นผู้ที่ต้องรับผิดต่อบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ส่วนการที่บริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ได้นำสินค้าเหล็กม้วนพิพาท 1,325 ม้วน ที่บริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ส่งมอบให้รักษานั้นไปฝากให้จำเลยเก็บรักษา โดยจำเลยนายคลังสินค้าตกลงรับฝากไว้ตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้าโดยมีบำเหน็จค่าจ้างนั้น แม้จำเลยเก็บรักษาไว้โดยประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น รวมทั้งการใช้ฝีมือพิเศษเฉพาะการในการที่จะพึงใช้ฝีมือพิเศษนั้นด้วย อันเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่นายคลังสินค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 771 ประกอบมาตรา 659 วรรคสอง เมื่อเกิดความเสียหายแก่สินค้าเหล็กม้วนดังกล่าวก็เป็นกรณีที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้าต่อบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด คู่สัญญากับจำเลยตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้า จำเลยหาได้มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาสินค้าด้วยความระมัดระวังตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้านี้ต่อบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ซึ่งมิใช่คู่สัญญากับจำเลยแต่อย่างใด ดังนั้นกรณีเช่นนี้จึงเป็นกรณีที่บริษัทสยามบุณฑริก จำกัด คู่สัญญาจ้างทำของต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายของสินค้าตามสัญญาจ้างทำของจากบริษัทบางกอก อีสเทิร์น คอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญา จ้างทำของเท่านั้น หาใช่กรณีที่บริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดให้ผิดไปจากความรับผิดโดยตรงของคู่กรณีที่มีต่อกันตามสัญญาเก็บของในคลังสินค้าและสัญญาจ้างทำของดังกล่าวมาแล้วข้างต้นดังที่โจทก์แก้อุทธรณ์ได้อีกไม่ ดังนั้นบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในความเสียหายของสินค้าตามฟ้อง แม้โจทก์รับช่วงสิทธิจากบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ตามสัญญาประกันภัยก็ตาม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเช่นเดียวกับบริษัทสยามบุณฑริก จำกัด ดังนี้จำเลยรวมทั้งจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยจากจำเลยย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์และจำเลยกับจำเลยร่วมอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยและจำเลยร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ