คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7499/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทความผิดและแก้โทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสอง แต่ก็เป็นการแก้ไขเพียงปรับวรรคของบทความผิดให้ถูกต้อง โดยมิได้แก้ฐานความผิด ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกินห้าปี ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 14,000 เม็ด น้ำหนักรวม 1,275.81 กรัม มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 268.941 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เหตุเกิดที่ตำบลหนองกรด อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้และยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าว โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกียจำนวน 2 เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องมือสื่อสารที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษคดีนี้ และรถยนต์หมายเลขทะเบียน กธ 1414 ชลบุรี ซึ่งเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองใช้ในการซุกซ่อนและขนยาเสพติดให้โทษที่มีไว้เพื่อจำหน่ายคดีนี้มาจำหน่าย เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่และรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 30 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่และรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยที่ 1 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งอนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตและปรับคนละ 3,000,000 บาท ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุกคนละ 25 ปี และปรับคนละ 1,500,000 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ในกรณีกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังเกิน 1 ปี ได้แต่ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 30 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทความผิดและแก้โทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสอง แต่ก็เป็นการแก้ไขเพียงปรับวรรคของบทความผิดให้ถูกต้อง โดยมิได้แก้ฐานความผิดแต่อย่างใด ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกินห้าปีจึงห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพนิจในการกำหนดโทษ อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มานั้นเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share