แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่เกิดเหตุมีโต๊ะสนุกเกอร์เปิดบริการให้บุคคลทั่วไปเล่นได้และขณะเกิดเหตุยังคงเปิดบริการอยู่ การที่จำเลยทั้งสามเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ในบริเวณที่บุคคลทั่วไปย่อมจะเข้าไปได้นั้น ย่อมไม่มีความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 364 และ 365
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 364, 365, 371, 83, 91
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 4 เดือน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ในคำขอตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 และ 371 และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ กับพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 364, 365, และ 371 ประกอบมาตรา 83, 90, 91 ความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานบุกรุกอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี และปรับคนละ 100 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสามเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุและจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยกฟ้อง โจทก์มิได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และนายจำเนียร ระวังภัย เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชกต่อยผู้เสียหายที่ 2 ในวาระต่อเนื่องคราวเดียวกันกับจำเลยที่ 3 และมีนายชมพู ระวังภัย เบิกความเป็นพยานว่า มาเห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุภายหลังจากที่พยานออกไปซื้อบุหรี่ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อกลับมาถึงบ้านที่เกิดเหตุมีเศษแก้วแตกกระจายเกลื่อนกลาดเห็นผู้เสียหายที่ 2 มีเลือดไหลจากบริเวณศีรษะและเห็นจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนในมือข้างขวาและส่ายอาวุธปืนไปมา มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยืนอยู่ใกล้กับจำเลยที่ 1 ต่อมาหลังจากผู้เสียหายที่ 2 ล้างเลือดที่ศีรษะแล้วเดินกลับมาพูดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 พูดว่า จะเอาอีกไหม แล้วจำเลยที่ 2 ตบหน้าผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 2 เดินเข้าไปหาจำเลยที่ 1 เพื่อจะพูดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ชกหน้าผู้เสียหายที่ 2 พยานเข้าไปดึงจำเลยที่ 1 เพื่อห้ามปรามแต่จำเลยที่ 1 ยังคงกลับเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 2 อีก เมื่อเห็นว่าห้ามปรามจำเลยที่ 1 ไม่ได้แล้วพยานจึงกลับบ้าน เห็นว่า พยานโจทก์ต่างยืนยันข้อเท็จจริงตามที่ได้เบิกความและเจือสมกับคำให้การของจำเลยที่ 3 ที่ให้ไว้ในชั้นสอบสวนแม้จะมีข้อเท็จจริงแตกต่างกันไปบ้างก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ อีกทั้งพยานโจทก์เบิกความในชั้นพิจารณาหลังจากเกิดเหตุแล้วเป็นเวลานานหลายเดือน รายละเอียดปลีกย่อยย่อมเลอะเลือนไปได้ แต่ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏจำเลยทั้งสามอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่แรกจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายที่ 2 ถูกทำร้ายร่างกายแล้วจำเลยทั้งสามกลับออกไปจากสถานที่เกิดเหตุพร้อมกันตามที่โจทก์นำสืบ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันในการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 และมีการลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ด้วยหรือไม่ เห็นว่า ที่เกิดเหตุมีโต๊ะสนุกเกอร์เปิดบริการให้บุคคลทั่วไปเล่นได้และขณะเกิดเหตุยังคงเปิดบริการอยู่ การที่จำเลยทั้งสามเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ในบริเวณที่บุคคลทั่วไปย่อมจะเข้าไปได้นั้นย่อมไม่มีความผิดฐานบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 และมาตรา 365 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกาย ไม่มีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้ว ศาลฎีกาก็ต้องกำหนดโทษจำเลยทั้งสามเสียใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งความผิด เห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามซึ่งกระทำไปขณะมึนเมาสุราไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์ระรานข่มเหงผู้ใดและไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนประกอบกับบาดแผลที่ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับก็ไม่ร้ายแรง มูลเหตุแห่งคดีเกิดจากการชักชวนให้ดื่มสุราแต่ผู้เสียหายที่ 2 ปฏิเสธ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นการสมควรที่ศาลจะให้โอกาสจำเลยทั้งสามกลับตัวกลับใจโดยรอการลงโทษจำคุกไว้ อันจะทำให้จำเลยทั้งสามเกิดสังวรไม่ลุอำนาจโทสะอีกต่อไป ฎีกาของจำเลยทั้งสามนอกจากนี้ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 มีกำหนดคนละ 8 เดือน ปรับคนละ 3,100 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 เดือน ปรับ 1,600 บาท โทษจำคุกของจำเลยทั้งสามให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาบุกรุกให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6