คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไปโดยไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลย จึงต้องคืนรถจักรยานยนต์ให้แก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิทางแพ่งกับจำเลยและร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืน เป็นเพียงการไม่ถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญาที่กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งเป็นสิทธิที่ผู้ร้องจะใช้หรือไม่ก็ได้และเมื่อจำเลยผิดสัญญา ผู้ร้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์สินของกลางที่ให้เช่าซื้อคืนได้ กรณียังไม่พอฟังว่าเป็นการช่วยเหลือจำเลยมิให้ต้องรับโทษเต็มตามคำพิพากษา อันเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดเพราะกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคแรก, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 64 และริบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน คพพ สงขลา 288 ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน คพพ สงขลา 288 ของกลาง เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 ผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไป ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยและใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้คืนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน คพพ สงขลา 288 แก่บริษัทสยามบ้านซู ลิสซิ่ง (2002) จำกัด ผู้ร้อง ซึ่งเป็นเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน คพพ สงขลา 288 ของกลาง จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไปจากผู้ร้อง ต่อมาจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดคดีนี้ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นกิจการตามวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของผู้ร้อง หลังจากผู้ร้องให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไปแล้ว จำเลยในฐานะผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองใช้สอยรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยจะนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดอย่างไรและเมื่อใด ทั้งโจทก์ก็มิได้นำพยานมาสืบให้เห็นว่าผู้ร้องมีพฤติการณ์รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามพยานหลักฐานของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดและเป็นการผิดข้อสัญญาเช่าซื้อ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ร้องตามข้อสัญญาโดยการชดใช้ราคา หากผู้ร้องต้องการใช้สิทธิแห่งตนโดยสุจริตและตามความประสงค์หลักในการทำสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องควรเรียกร้องเอาการชำระหนี้เรื่องราคาจากจำเลยให้ครบถ้วนตามข้อสัญญาเช่าซื้อ หาควรเรียกร้องเอารถจักรยานยนต์ของกลางอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่จำเลยด้วยไม่ หรือนับเป็นการเบี่ยงเบนไม่เรียกร้องค่าเช่าซื้อเพื่อจะช่วยเหลือจำเลยมิให้ต้องรับโทษเต็มตามคำพิพากษาที่กำหนดไว้ พฤติการณ์ของผู้ร้องเป็นการขอคืนของกลางโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า การที่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิทางแพ่งกับจำเลยและร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืน เป็นเพียงการไม่ถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญาที่กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งเป็นสิทธิที่ผู้ร้องจะใช้หรือไม่ก็ได้ และเมื่อจำเลยผิดสัญญา ผู้ร้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์สินของกลางที่ให้เช่าซื้อคืนได้ กรณียังไม่พอฟังว่าเป็นการช่วยเหลือจำเลยมิให้ต้องรับโทษเต็มตามคำพิพากษาอันเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด เพราะกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้คืนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน คพพ สงขลา 288 ของกลาง แก่ผู้ร้อง

Share