คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12852/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งโจทก์ร่วมอ้างว่ามีสิทธิครอบครองไม่มีเอกสารสิทธิใดๆ และอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ร่วม มีสภาพเป็นป่าพรุ มีต้นไม้ขึ้นตามธรรมชาติ มีร่องน้ำไหลผ่านออกสู่ทะเลได้ แม้ที่เกิดเหตุมิได้จดทะเบียนเป็นที่สาธารณะหรือออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่ที่เกิดเหตุอาจเป็นที่สาธารณะได้หากเป็นทรัพย์สินที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1304 การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเชื่อโดยสุจริตว่าที่เกิดเหตุเป็นที่สาธารณะอันเป็นทรัพย์สินของส่วนรวม จึงใช้ให้จำเลยที่ 2 กับพวกเข้าไปปลูกต้นมะพร้าวในที่เกิดเหตุโดยมีเจตนาป้องกันมิให้โจทก์ร่วมบุกรุกเข้าถือครองที่เกิดเหตุ มิได้มีผลประโยชน์แอบแฝง การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงขาดเจตนายังไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362, 365
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสิวเทียด พฤกษ์อุดม ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยรองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมาย รับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินที่เกิดเหตุมีเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินแม้ที่เกิดเหตุมิได้จดทะเบียนเป็นที่สาธารณะหรือออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงก็ตาม แต่ที่เกิดเหตุอาจเป็นที่สาธารณะได้หากเป็นทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 นอกจากนี้ที่เกิดเหตุยังมิได้มีการพิสูจน์สิทธิทางศาลหรือจากหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวข้องว่าเป็นที่สาธารณะหรือเป็นทรัพย์ที่โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองเช่นนี้ ข้อสันนิษฐานของจำเลยที่ 1 ว่าที่เกิดเหตุเป็นที่สาธารณะใช้ระบายน้ำออกสู่ทะเลจึงมีเหตุผลมารองรับ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 กับพวกปลูกต้นมะพร้าวในที่เกิดเหตุโดยมีเจตนาป้องกันมิให้โจทก์ร่วมบุกรุกเข้าถือครองที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 1 เชื่อว่าโดยสุจริตเป็นที่สาธารณะอันเป็นทรัพย์สินของส่วนรวมโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่เกิดเหตุเป็นของตนและมิได้เข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยมีผลประโยชน์แอบแฝง สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบได้ความแต่เพียงว่าในวันที่ 29 กันยายน 2542 นายสุเทพ พฤกษ์อุดม ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วมและนางนงลักษ์ ลิ่มสกุล บุตรโจทก์ร่วมเห็นจำเลยที่ 3 อยู่ในที่เกิดเหตุเท่านั้น จำเลยที่ 3 นำสืบว่าเหตุที่ตนเข้าไปในที่เกิดเหตุเพราะเห็นจำเลยที่ 1 พูดโต้เถียงกับโจทก์ร่วมเรื่องคลองสาธารณะ จำเลยที่ 3 จึงตามไปดูเหตุการณ์ พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานบุกรุก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share