คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณบ้านผู้เสียหายทั้งสองและใช้ก้อนหินขว้างผู้เสียหายทั้งสอง ก้อนหิน ไม่ถูกผู้เสียหายทั้งสองแต่เป็นเหตุให้กระเบื้องหลังคาแตก 2 แผ่น ซึ่งเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองและฐานบุกรุกเคหสถานตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่สำหรับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เพียงก้อนหินที่ขว้างไปถูกกระเบื้องหลังคา แสดงว่าเป็นเพราะพลาดไปถูกหลังคา มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ด้วย จะถือเอาเจตนาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเจตนาทำให้เสียทรัพย์โดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา 60 ด้วยไม่ได้เพราะเจตนาทำร้ายผู้อื่นเป็นเจตนาคนละประเภทกับเจตนาทำให้เสียทรัพย์อีกทั้งกรรมของการกระทำก็ต่างกัน จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยพลาดมิได้ แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อาจจะกระทำโดยประมาท แต่การทำให้เสียทรัพย์โดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดอาญา

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยทั้งสองในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 3
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 91, 295, 358, 362, 364, 365 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 80, 358, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362, 364 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (ที่ถูก มาตรา 295, 80, 358, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362, 83) การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันพยายามทำร้ายร่างกายและฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันบุกรุกในเคหสถานตั้งแต่สองคนขึ้นไปและในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 2 ปี
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตาย จึงจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณบ้านผู้เสียหายทั้งสองและใช้ก้อนหินขว้างผู้เสียหายทั้งสองแต่ไม่ถูกผู้เสียหายทั้งสอง แต่เป็นเหตุให้กระเบื้องหลังคาแตก 2 แผ่น ซึ่งเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองและฐานบุกรุกเคหสถานตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่สำหรับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้น ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการบรรยายว่าเพียงก้อนหินที่ขว้างไปถูกกระเบื้องหลังคา แสดงว่าเป็นเพราะพลาดไปถูกหลังคา มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ด้วย ดังนั้นจะถือเอาเจตนาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเจตนาทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วยไม่ได้ แม้อาจกระทำโดยประมาทแต่การทำให้เสียทรัพย์โดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกฟ้องความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าภายหลังที่จำเลยทั้งสามกระทำความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้วได้กลับมาที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองอีกครั้ง และท้าทายให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกไปยิงกันนั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 80, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกในเคหสถานตั้งแต่สองคนขึ้นไป และในเวลากลางคืน อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 5,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share